วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/9


พระอาจารย์
14/9 (570412B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
12 เมษายน 2557


พระอาจารย์ –  เห็นมั้ยว่าแค่สติ แค่ศีล ยังทำอะไรกับกิเลสไม่ได้ ...แค่สติ แค่ศีล แค่สมาธิ ก็ยังทำอะไรกับกิเลสไม่ได้

แต่เมื่อใดที่มันพร้อม  สติ ศีล สมาธิ ปัญญา...พักพร้อม พร้อมเพรียงกันเมื่อไหร่ มรรคเจริญเต็มที่ ปัญญาเจริญในขั้นภาวนามยปัญญาขั้นฟาดฟันทำลายล้าง

กิเลสความไม่รู้ มิจฉาทิฏฐิ...ความเห็นผิด ภวาสวะ มานานุสัย ราคานุสัย เริ่มถูกสั่นคลอนไปถึงรากเหง้า ทีละเล็กละน้อยด้วย  

แต่ยังไม่สามารถโค่นล้ม หรือทำลายล้าง หรือว่าถูกเนื้อต้องตัวของเจ้าใหญ่นายโตคืออวิชชาจริงๆ

เราถึงบอกว่าการภาวนาในระดับที่พวกเรายังแค่ไล่ตามเท่าทัน...ที่กำลังตั้งใจทำกันตอนนี้ มันยังไม่พอ ยังน้อยเกินไป ...ยังช้ากว่ากิเลสหลายช่วงตัว 

มันยังช้ากว่าความโลดแล่นของจิตหลายเท่าตัว ยังไวไม่พอ ยังมีช่องทางออกนอก...มากกว่าการยับยั้งหยุดอยู่ภายใน ...แบบทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น

ประมาณนักวิ่งโอลิมปิกเหรียญทองกับทารกที่แข่งกัน ...พูดให้เห็นภาพ จะได้ประเมินได้ว่า ตัวอิฉันที่ฝึกมาหลายปีดีดักแล้วนี่ พอจะวิ่งแข่งกับเหรียญทองโอลิมปิกได้หรือยัง 

นี่ ไม่ต้องใช้ญาณส่อง จะตอบให้ ...ไม่มีทางทัน ถ้ายังอยู่ในระดับนี้

เพราะนั้นการฝึก การหัด การภาวนา มันจะต้องต้าน ต้องทวน ...ต้องตลอดเวลา ไม่เว้น ไม่พัก ไม่หยุดภาวนา ... แล้วทำให้ได้ ...ไม่ได้ก็ต้องได้ โดยไม่มีเงื่อนไข

ต้องเรียกหาสติให้ได้ในทุกที่ ทุกสถาน ทุกกาล ทุกเมื่อ ...ไม่ว่าที่นั้นจะยาก สถานการณ์นั้นจะลำบาก สิ่งแวดล้อมนั้นจะไม่เอื้อ ...พูดง่ายๆ ว่า ท่ามกลางฝูงหมาป่า...แล้วเราเป็นลูกแกะ

ตรงนั้นน่ะ...ที่กิเลสทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งพร้อมจะขย้ำ พันตู ต่อสู้ต่อกรกัน ...จะต้องเรียกหาสติ จะต้องเรียกหาฐานที่ตั้งของจิต...คือกาย คือศีล จะต้องเรียกหาความตั้งมั่นของจิตภายใน...คือสมาธิ 

และจะต้องคอยมีปัญญาสอดส่องดูอาการ เท่าทันอาการของจิตที่มันจะโลดแล่นไปพันตูกับเรื่องราว สัตว์บุคคล อดีต-อนาคต ...จะต้องเข้มงวดกับศีลสมาธิปัญญาอย่างนี้ สร้างขึ้น ทำขึ้น ผลักดันมันขึ้นมา 

ไม่ใช่ภาวนาแบบซังกะตาย ภาวนาแบบ...ที่ไหนภาวนาได้ดี สถานการณ์ไหนภาวนาได้สวย เหตุการณ์อะไรที่มันสามารถอยู่แล้วมีบุญได้...ค่อยทำ

แต่ถ้ายากหน่อยก็ไม่ทำ มีเรื่องมีราวอะไรขึ้นมาหน่อย...ไม่ทำ ไม่ภาวนา ...จะเอาเรื่องอย่างเดียว เอาให้ตายกันไปเลย เอาให้เห็นดำเห็นแดงกันไปซะทีนึง ...เนี่ย ตามกิเลสล้วนๆ

ต้องฝึกแล้วฝึกเล่า ทำแล้วทำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ...ในที่อันเดิม กายเดิม รู้แบบเดิม ตั้งมั่นอยู่ที่เดิม เวลาเดิม...คือปัจจุบัน ...ทำอย่างนี้ จนขึ้นใจ เหมือนท่องอาขยาน เหมือนท่องสูตรคูณน่ะ 

ตอนไหนก็ได้ หลับหูหลับตาก็ยังท่องได้เลย ก็เพราะว่ามันทวนแล้วทวนเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช่มั้ย ...เป็นเด็กเนี่ย ถ้าครูไม่บังคับให้ท่องสูตรคูณ ไม่มีทางจำได้หรอก 

ครูบาอาจารย์นี่ ท่านก็บังคับอย่างนี้ ...ไม่อยากท่องมันก็ต้องท่อง ก่อนกลับบ้านมันก็ท่อง แม่สองแม่สามสี่ห้า...ก็ว่ากันไป ท่องแบบนกแก้วนกขุนทองนี่แหละ ท่องไปเถอะ

แล้วไงล่ะ ...ไอ้ท่องแบบนกแก้วนกขุนทองนี่ เวลาจะมาใช้งานจริงน่ะ...ไอ้ท่องแบบนกแก้วนกขุนทองนี่ ไม่ต้องไปเปิดตารางสูตรคูณเลย ...เพราะมันจำในระดับฝังหัวอย่างนี้ ความรู้อันนี้

เหมือนกัน ...การเพียรภาวนาซ้ำซากๆ เหมือนไม่ได้อะไร ไม่รู้อะไร ไม่เห็นอะไร ไม่มีปัญญาอะไรเกิดขึ้นเลย อย่างที่ว่าไม่รู้จะท่องไปทำไม นี่ สมัยเด็กๆ ก็ว่าอย่างนั้น บ่น จ่มให้ครูว่าไม่เห็นมีประโยชน์เลยนั่นน่ะ  

แต่ถึงเวลา...มันสามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้ อย่างนั้นน่ะมันจึงจะเห็นคุณค่า...ว่าไอ้ที่อดทนทำ อดทนพากเพียรมานี่ เพื่ออะไร แล้วมันได้ผลยังไง

เพราะนั้นรู้ตัว...รู้ที่เดียว ไม่ต้องหลายที่ ไม่ไปตั้งที่รู้ ไม่ไปตั้งอะไรอื่นที่รู้ให้เป็นเครื่องหมายแห่งการระลึกรู้ นอกจากกายเป็นพื้นฐาน 

อย่าไปเล่นของสูง อย่าไปเล่นกับขันธ์ละเอียด อย่าไปเล่น อย่าไปหา อย่าไปทะยานอยากในธรรมส่วนละเอียด หรือความรู้ความเห็นในทางลึก 

เหล่านี้มันเป็นความรู้ความเห็นที่เกินตัว มันเป็นความรู้ความเห็นที่เกินจริง...กว่าจริง กว่ากำลังของตัวเองที่จะเข้าไปเห็นไปรู้ได้

กายก้อนเท่าเนี้ย...ที่มันแสดงแบบตรงไปตรงมาอย่างเงี้ย แล้วมันปรากฏอยู่ตลอดเวลาอย่างเงี้ย  ยังไม่สามารถรู้ได้โดยตลอดเลย ...แล้วมันจะไปเกิดความรู้ที่เรียกว่าความรู้รอบในกองขันธ์ได้อย่างไร

ของธรรมดาๆ ที่อยู่กับมันมาชั่วกัปชั่วกัลป์นี่ ...ทุกภพทุกชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ ก็ได้ขา ก็ได้แขน...ในรูปทรง ทรวดทรงแบบนี้มา 

ก็ได้เกิดมาพร้อมกับความรู้สึกตึงแน่น หนักเบา ร้อนอุ่น หนาว หิว ปวดเมื่อย ...คือมันได้ติดตัวมาอย่างนี้ ทุกภพทุกชาติแห่งการเกิดมาเป็นมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน

กี่ชาติกี่ภพที่เกิดมาเป็นคน...แล้วทำไมก้อนแค่เนี้ย ยังรู้ไม่รอบ ยังรู้ไม่ตลอด ยังไม่เห็นโดยรอบโดยตลอดเลย ...แต่กลับไปขะเย้อแขย่งแสวงหาการปฏิบัติ ค้นหาธรรมในส่วนที่ละเอียดและปราณีตกันอยู่หรือ

ถ้าภาษาโลกๆ พวกนี้เรียกว่า พวกรายได้ต่ำแต่รสนิยมสูง ไม่ประเมินไม่ประมาณในตัวเอง ...เรียกว่าไม่รู้ประมาณในตน ไม่รู้ประมาณในกาล ไม่รู้ประมาณในสถานที่ ไม่รู้ประมาณในชุมชน

เบื้องต้นก็คือมันเกิดจากความไม่รู้ประมาณในตน ไม่รู้ไม่ประมาณว่า...ศีลระดับนี้มีรึยัง สมาธิในระดับนี้มีรึยัง ปัญญาในระดับนี้ หยาบ กลาง ละเอียด ประณีต มีรึยัง

ถ้าประเมินกันแบบตรงมาตรงมาด้วยตัวเองนี่ ก็จะรู้เลยว่า...โบ๋เบ๋ กระเป๋ากลวง ...แต่ไปเข้าร้านอาหารปั๊บนี่ จะสั่งมังกรอบหม้อดินน่ะ 

นี่หามาให้ได้นะมังกรอบหม้อดินน่ะ ...แต่มึงมีเงินจ่ายกูรึเปล่า เดี๋ยวจะไปจับมาให้มังกรน่ะ ...มันก็ไม่มีเงินจ่ายอยู่ดี ....คือถึงอธิบายธรรมให้ฟัง ก็ได้แต่นั่งอ้าปากตาค้างกรามแข็ง น้ำลายย้อยอีกต่างหาก

เมื่อรู้แล้ว บอกให้รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้...ความเป็นจริง ...คือถ้าบกพร่องตั้งแต่ต้นคือสติและศีลนี่ ในท่ามกลางและในที่สุดของมรรค ของเส้นทางของมรรค คือสมาธิและปัญญานี่ ...ได้แค่ฝันเอา 

หรือมันได้มาแค่พอแตะปลายลิ้น ...นั่นแหละคือรสชาติที่จะได้รับ

เพราะนั้นถ้ามันอยู่โดยสภาวะที่ไร้ศีล ขาดสมาธิ ปราศจากซึ่งปัญญาญาณ  แล้วมีแต่ไอ้ปัญญารู้และคิดและจำนี่เยอะมาก...ว่าคือที่มันอุ่นใจ เนี่ย แต่มันไม่ใช่ของจริง...มันแบงค์กาโม่ 

แล้วมันก็พกแบงค์กาโม่เข้าร้านอาหารไปสั่งห่านฟ้า มังกรอบหม้อดิน แต่พอควักตังค์ออกมา กลายเป็นแบงค์กาโม่ ผลลัพธ์เหรอ ตัวใครตัวมัน 

วิ่งหนีกิเลสแทบไม่ทัน มันไล่ตีไล่ยำซะเละเทะเลย ... เห็นมั้ย รู้จักคำว่าเอาตัวไม่รอดมั้ย โดนมันแบบกลุ้มรุมมาแบบหาศพไม่เจอเลย

นี่เพราะว่าประเมินตัวเองผิดไป คือถึงไม่ใช่ว่าโอ้อวด ไม่ใช่ว่าจะไปหลอกต้มตุ๋นเขากิน แต่มันประเมินตัวเองผิดไป มันนึกว่าใช้ได้น่ะ...แบงค์กาโม่ 

เจ้าของร้านออกมานี่วงแตก ใครโดนจับได้ก็เสร็จน่ะ โดนสกรัม แล้วจะเอาที่ไหนไปใช้เขาละฮึ ...เขาก็จะเอาแบงค์กาโม่นั่นมาฉีกให้ดูต่อหน้าต่อตาเลย  

แบบ...ไหนมึงว่าอนิจจังทุกขังอนัตตาเหรอ มึงว่ามึงเห็นเป็นอสุภะเหรอ มึงว่าคราวที่แล้วเคยโกรธแล้วละได้ทันเป๊ะแล้วหายหรือ ...นี่ กูจะฉีกให้เห็นต่อหน้าเลย

ถึงตรงนั้นน่ะก็เริ่มเฉลียวใจว่า...อันตัวกูนี่ ใช้แต่ของปลอม ล้วนแล้วมีแต่ของไม่จริง ที่พอเอามาใช้จริงๆ ก็ใช้ไม่ได้  แล้วมันยังมีคิดว่า...“อาจารย์สอนผิดแน่ๆ เลย” ...นั่น ซวยกูอีก 

“หรือพระพุทธเจ้าสอนไม่ถูกมั้งนี่ มันไม่เหมาะแก่ยุคสมัยนี้นะ ศีลสมาธิปัญญาใช้การไม่ได้ ก็ทำไมถูกเขาไล่ตีมาหัวแตกล่ะ กิเลสมันไล่ยื้อยุดฉุดกระชากบีบคั้น เผาไหม้ เนี่ย ก็ภาวนามาตั้งหลายปีดีดัก”

อย่างเงี้ยที่ท่านเรียกว่าภาวนาไม่เป็น แล้วพอได้สิ่งที่ตอบแทนมาคือแบงค์กาโม่ ก็ตาไม่ดีอีก...ว่า “ได้แระ” ฮู้ย ดีใจ สภาวะนั้นสภาวะนี้บังเกิด 

รู้จักมั้ย แบงค์กาโม่น่ะ เออ เดี๋ยวนี้มันมีหลายแบงค์ ...อุลตร้าแมนก็มี


โยม –  มีหลายแบบเลย ...แล้วมันเป็นต้อกระจกน่ะหลวงพ่อ เลยมองไม่ชัด

พระอาจารย์ –  อือ มันก็หลากหลายสภาวะ ล้วนแต่ว่า...เก่ง ได้ทรัพย์สมบัติเต็มท้องพระคลังเลย ...แต่โทษที เขาไม่รับ ใช้ไม่ได้ ...มันก็เอาไว้อวดว่า “ชั้นมีตั้งกุรุสนึง” 

แต่ทำไมถึงเป็นผู้ยากไร้ ทำไมดูเหมือนเป็นเศรษฐีที่กลายเป็นผู้ยากไร้ ใช้ไม่ได้ ...แล้วใช้ไม่ได้ ยังไม่ว่า ยังไม่โทษ ยังไม่ตำหนิตัวเองอีกนะ 

มันยังว่าธรรมนี้ไม่ดี ธรรมนี้ไม่ใช่จริตของเรา อาจารย์ยังสอนไม่ตรง ...นี่ ไม่ว่าอาจารย์ไหน ไม่ว่าพระอรหันต์องค์ไหน มันสามารถล่วงเกินได้หมด

นี่คือสันดานของกิเลส ...มันไม่เคยกลับมาดูตัวเอง มันไม่เคยโทษตัวมันเองเลย  มันจะโทษอะไรก็ได้ แบบเขาเรียกว่า เหวี่ยงและวีนได้รอบทิศ สามร้อยหกสิบองศา

ดูดิ ...เวลาโกรธ เวลาขุ่นข้องไม่พอใจ ทุกอย่างน่ะ มันขัดหูขัดตาไปหมด  ดูเหมือนมันเป็นโทษทุกข์ไปหมดเลย แม้แต่พระอาทิตย์ที่กำลังส่องแสงก็ว่า “ร้อนโว้ย อารมณ์ไม่ดี” นี่ ด่าอีก มันเก่งกาจสามารถมาก

แต่เวลามาเที่ยวประกาศธรรมนี่...แบงค์กาโม่ล้วนๆ ...แล้วพอมาหาเรา เอาแบงก์กาโม่มาอวด เราก็เอามาเผาซะเลยต่อหน้ามัน ...นี่ เดือดร้อนๆ

เพราะนั้นในขั้นตอนเบื้องต้นนี่ ... หนึ่ง...คือเราจะชี้ให้เห็นว่า นี่ อันนี้แบงค์จริงเป็นอย่างนี้ ส่วนไอ้นี่หน้าไม่เหมือนพระเจ้าอยู่หัวนี่มันคือแบงค์กาโม่ ...รับรองว่าใช้ไม่ได้แน่

นี่เบื้องต้นก่อนน่ะ ...ให้อ่านให้ออกว่าอะไรจริง อะไรปลอม อะไรเป็นศีลตามความเป็นจริง อะไรเป็นสมาธิตามความเป็นจริง อะไรที่เรียกว่าสัมมา อะไรที่เรียกว่ามิจฉา 

อะไรที่เรียกว่าอยู่ในองค์มรรค อะไรที่เรียกว่าอยู่นอกองค์มรรค อันนี้ก่อน ...ให้มันพอจับเค้าได้ แล้วค่อยว่ากันใหม่ เพราะเดี๋ยวนี้มันมีเครื่องก๊อปปี้ ใช่มั้ย อันนั้นก็ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องล่ะวะ

แต่เบื้องต้นนี่...ดูอันนี้ให้ออกก่อน เพราะมันใช้แบงค์กาโม่กันแบบหน้าตาเฉยเลยน่ะ ...แล้วมีคนรับซื้อด้วย บางเจ้านะเขารับซื้อขายแลกเปลี่ยนกันด้วยนะ 

คือโง่เท่ากัน มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน เผ่าปทปรมะ พวกบัวใต้ตม ...ทำไมถึงเผ่าเดียวกัน เพราะมันมืดตึ้บ เมื่อมันมืดตึ้บนี่มันมองอะไรไม่เห็นหรอกว่าใครถูกใครผิด ใครใช่-ไม่ใช่ มันก็ว่าพวกเดียวกันน่ะแหละ

แต่เมื่อใดที่มันโผล่แทงยอดแทงหน่อขึ้น มันก็จะเห็นว่าไอ้บนยอดหน่อนี่ ทัศนียภาพ ทัศนวิสัยต่างกัน ...ไม่ใช่มันไม่รู้ มันก็รู้ เพราะกูมาจากตมน่ะ ทำไมกูจะไม่รู้ว่าตมเป็นยังไง

แล้วระหว่างแทงหน่อ ก็ฝันหวานอีก...ว่ามันจะเป็นดอกบัว ... รอแล้วรอเล่า ทำแล้วทำเล่า ประคับประคองแล้วประคองเล่า ผลิมา ...ดันเป็นใบบัว 

ก็ว่า ...เอ๊ะ ผิดรึเปล่า ...ร่ำๆ จะก้มหน้าลงมุดดินกลับไปอยู่กับพวกเดียวกัน จะได้หาช่องทางแทงออกมาพรวดเป็นดอกบัวตูมๆ เอาแบบทีเดียวเลย

รู้จักกอบัวมั้ย ...มันมีบัวที่ไหนออกหน่อแรกเป็นดอกขึ้นมาเลย หือ กอบัวนี่ใบพรึ่บ ยิ่งใบดกเท่าไหร่ ดอกก็ออกง่ายใช่ไหม ...นั่นแหละมรรค นั่นแหละการที่ซ้ำซากอยู่ในองค์มรรค 

“แล้วทำไมไม่เกิดผลวะ...รู้กายนี่ หือ ไม่เห็นได้อะไร ละกิเลสก็ไม่ได้” ...นี่คือรู้จักใบมั้ย  

อย่ามัวฝันถึงแต่ดอก ...หล่อเลี้ยงใบให้เยอะเถอะ ... ศีลสมาธิปัญญา มรรคเบื้องต้นขั้นหยาบ ศีลเป็นใหญ่ สมาธิเป็นใหญ่ ปัญญาเล็กน้อย เข้าใจมั้ย

อย่าว่าแต่ปุถุจิตปุถุชนนะ โสดาบัน...ศีลดี สมาธิดี ปัญญาด้อย  อนาคามี... ศีลบริบูรณ์ สมาธิบริบูรณ์...เต็ม ปัญญาดี...ยังไม่เต็ม ...พระอรหันต์ สมาธิบริบูรณ์ ศีลบริบูรณ์ ปัญญาบริบูรณ์

ปุถุชน ...ไม่ขาดก็เกิน ไม่ค่อยครบองค์ประชุม  และที่สำคัญคือ...ไม่รู้อยู่ไหน สำคัญที่สุดตอนแรกเลยคือ...ไม่รู้อยู่ไหน ...คือประเภทเอาแบงค์กาโม่มา มันก็บอกว่าอันนี้จริง ซื้อหาจับจ่ายได้พอตัวแล้ว ใช้ได้ 

นี่เขาเรียกว่ายังไม่รู้จริงเลยว่าของจริงกับของปลอม ...ศีลจริงสมาธิจริงปัญญาจริง กับศีลปลอมมิจฉา สมาธิปลอม มิจฉา โมหะหรือมิจฉาปัญญาญาณกับสัมมา

ทีนี้เวลาเอาไปจับจ่ายใช้สอยกับร้านที่เขาตรงไปตรงมา เขาไม่รับลูกเดียวอ่ะ  แล้วก็จะไปบีบคอเค้นคอเขาให้รับ เขาก็บอกว่ามันไม่จริง มันรับไม่ได้ มันใช้ไม่ได้ ...รู้จักมั้ยคำว่าใช้ไม่ได้น่ะ 

มันก็ปิดหูปิดตาว่า ก็เขาใช้กันอย่างนี้น่ะ ทั้งโลก ทั้งสำนัก ...แต่สำนักนี้ไม่รับ สำนักของพระพุทธเจ้าก็ไม่รับ ...ทำไมไม่รับ เพราะแบงค์จริงน่ะท่านพิมพ์มากับมือ ทำไมจะไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง 

ทำไมถึงจะไม่รู้ว่าศีลสมาธิปัญญาตัวนี้จริงหรือไม่จริง ปัญญาที่ว่ามีปัญญากันนั่นน่ะมันปัญญาจริงๆ หรือว่าปัญญาแบงค์กาโม่ แล้วบอกมันนี่...ดีไม่ดีมันยังเถียงอีก

ถึงยังไงเขาก็ไม่รับน่ะ ทำไม ทำอะไรเขาได้ ...จะไปซื้อหาธรรมหรือ จะไปหาซื้อมรรคผล จะไปหาซื้อนิพพานหรือ เขาไม่ขายน่ะ ...ไม่ได้มีให้ขายกับแบงค์กาโม่นะ 

เขาต้องการธนบัตรจริง ...แล้วคนที่ได้มา หามาด้วยสุจริต ไม่ได้ลักวิ่งชิงปล้นคดโกงฉ้อฉลเขามาแอบอ้าง ศีลสมาธิปัญญากับตำราหรือครูบาอาจารย์ ท่านก็ไม่รับ

เพราะแบงค์นี้ยังมีมลทิน ไม่ใช่แบงค์อันบริสุทธิ์จริงๆ หรือยังแอบปลอมแบบที่เขาเรียกว่าก๊อปปี้แบงค์น่ะ พวกสร้างเครื่องก๊อปปี้ขึ้นมา เนี่ย 

ทำไมท่านจะดูไม่ออก ก็พิมพ์มากับมือ ลายน้ำนี่เห็น ลายเส้นนี่เห็น ลายแบงค์หน้าตาขององค์พระในแบงค์ ข้อความในแบงค์ ...นี่ ชัดเจน แจ่มชัด หลอกไม่ได้

แล้วยังเตือนด้วยนะว่าอย่าเอาไปใช้  ถ้าเตือนแล้วไม่ฟังก็จะด่า ถ้าด่าแล้วไม่ฟัง ก็ชั่งหัวมันเถอะ  ท่านไม่ได้ทำอะไร ท่านไม่มีสิทธิ์ไปทำอะไร ทุกคนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของกายใจในระดับหนึ่ง

เพราะนั้นการที่มาฟังเรา ...เราก็จะพูดซ้ำซากในเรื่องศีลสมาธิปัญญา มากี่ครั้งๆ ก็จะพูดเรื่องศีลสมาธิปัญญา มากี่ครั้งๆ เราก็จะพูดว่าให้รู้ตัวรู้กาย...เป็นหลัก

ทำไมถึงต้องรู้ตัวรู้กาย ...เพราะแบงค์นี่...ลายพิมพ์ลายน้ำน่ะมันอยู่ในอากาศรึเปล่า ...มันต้องมีกระดาษ ถ้ามันไม่มีกระดาษมันจะเป็นแบงค์มั้ย แล้วมีแต่กระดาษเปล่าจะเรียกว่าเป็นแบงค์จริงๆ มั้ย

ทำไมพระพุทธเจ้าท่านถึงบอก ศีลน่ะเป็นรากฐาน ทำไมท่านถึงบอกว่าศีลนี่เป็นที่รองรับของธรรมทั้งหลายทั้งปวง ...ทำไมเราถึงบอกว่ากายนี่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติ ทิ้งไม่ได้


(ต่อแทร็ก 14/10)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น