วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/14


พระอาจารย์
14/14 (570415B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 เมษายน 2557



พระอาจารย์ –  สะสมพลังไป ..มันจะไปห้ามแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ได้หรอก ... ก็อยู่ในฐานะจำยอม จำทนกับกรรมและวิบากที่เราจะต้องเสวย ...คือต้องไปทำงานหาเงิน

แต่อย่าให้มันออกไปไกล ไปนาน ...คอยน้อม คอยหยั่ง คอยเตือนไว้ภายใน ให้กลับมาอยู่กับหมุดมาตรฐาน คือความเป็นจริงในปัจจุบันกาย ...เต็มกำลังให้ได้มากที่สุด เท่านั้นก่อน

แล้วทีนี้เวลากลับมาอยู่บ้าน ...คือไม่จำเป็นต้องลางานมาอยู่วัดหรอก ...ก็ในเวลาทำงาน มันก็ไม่ได้อยู่ในที่ทำงาน ๒๔ ชั่วโมง เข้าใจมั้ย อย่ามาอ้างนะว่าไม่มีเวลา

กลับมาอยู่บ้านนี่ เอ้า งานมันตามหลังมารึไง แม่นางควายเคี้ยวเอื้อง (โยมหัวเราะกัน) ...คือสันดานควายเคี้ยวเอื้อง นี่ มันกินเสร็จแล้ว มันเก็บเข้าไปข้างในเนี่ย แล้วมันก็สำรอกมาเคี้ยวต่อใหม่ เข้าใจมั้ย  

เนี่ย ควายทั้งนั้น เคี้ยวเอื้องได้ตลอดวัน คือจริงๆ มันกินจนอิ่มแล้วก็ยังเอาออกมาเคี้ยวต่อ แบบ...มันส์ดี มันส์

ก็ต้องเข้าใจว่า มาอยู่บ้านแล้วงานไม่ได้ตามมานะ ภาระก็ไม่ได้ตามมานะ ไปคิดเอาเอง ไปแบกเอาเองนะ ว่า... "โอ้ย ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยจังๆๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะรู้เนื้อรู้ตัวแล้ว นอนก่อน"


โยม –  แต่บางวันหนูทำงานไม่ทัน หนูก็เอากลับไปทำที่บ้าน

พระอาจารย์ –  ก็ทำไป


โยม –  ...ลืมภาวนาเลย

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ปัญหาใหญ่คือมันลืมภาวนา ...ไอ้คำว่าลืมภาวนานี่ อีกภาษานึงเขาเรียกว่า...หลง ด้วยโมหะมันครอบงำ 

แล้วโมหะนี่เป็นมิตรสนิทชิดใกล้เลย...ยิ่งกว่ามิตรแท้ประกันภัยอีก ...คือมันจะตาม ติดสอยห้อยตามทุกครั้งที่ขาดสติเลย มันจะเอาความลืมความหลงมาแทรกไว้ก่อน

เพราะนั้นว่าเราต้องยอมรับสภาพนี้ก่อน...ว่ากิเลสโมหะนี่ เป็นของที่ละได้ยาก และเป็นของที่เท่าทันได้ยากด้วย  กว่าจะรู้ว่าลืมไปนี่ บางทีเป็นหลายนาที เป็นชั่วโมงเลย ...มันต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว

แต่คราวนี้ว่า ถ้าเป็นพวกเราก็เสียใจร่ำไรว่า...ไม่น่าเลยเรา  ตำหนิติโทษ แทนที่ว่า...รู้แล้วว่าลืม แล้วรู้ว่ากำลังรู้ตัวอยู่ ...แทนที่จะรักษาความรู้ตัวใหม่ กลับมาพิรี้พิไรอะไรกันนักกันหนา

ติโน่นโทษนี่... "เนี่ยๆ เพราะไอ้นี่ ...เพราะตอนนั้นเลย ที่มันลืมเพราะไอ้เนี่ยมันมาชวนคุย นี่ถ้าไม่มีมันนะ ก็คงไม่ลืมหรอก" ... เนี่ย โทษ สันดานชั่งโทษ เพ่งโทษ

มันไม่โทษตัวเองนะ มันโบ้ยไปๆ ...ไม่มีคนมาให้โบ้ย ก็โบ้ยว่า... “วันนี้อากาศมันไม่ค่อยดีเลย” เนอะ


โยม –  มันร้อนฮ่ะ

พระอาจารย์ –  "ร้อนไป จิตใจมันก็เลยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แน่ะ อากาศไม่ดี...จิตใจเลยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว" ...ดูมันพูด ดูควายมันพูด


โยม –  ก็ดูไปๆ เริ่มใหม่ค่ะ ไปเริ่มนับศูนย์ใหม่

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ต้องนับหนึ่งนับศูนย์อยู่ตลอดเวลา ...อย่าให้มันเกิน “นี้” ไป อย่าให้มันเกิน “นี้” ออกไป 

เมื่อใดที่เกิน “นี้” ออกไปนี่ ...ให้รู้ไว้เลย เขาควายจะงอกตามทีละนิดๆ ...พองอกได้ที่ปั๊บนี่ กูขวิดเลยแหละ...เจอคนขวิดคน เจอจอมปลวกกูก็ขวิดได้... เอาไว้ลับเขาไง 

แล้วส่วนมากมันไม่ไปขวิดจอมปลวกหรอก ...จะขวิดไอ้คนที่กูเกลียดนี่แหละ เพราะว่ามันเป็นตัวขัดขวางการดำเนินในการดำรงชีวิต มันต้องขวิดแล้วก็ปัดไปให้อยู่ไกลๆ ซะ

และอย่านึกว่าคนอื่นเขาไม่มีเขานะ หือ “นึกว่ามึงมีเขาคนเดียวรึไง กูก็มี” ...นี่ ได้เลือดล่ะทีนี้ ได้เลือดล่ะ ได้ทั้งเรื่องแล้วก็ได้ทั้งเลือดแหละทีนี้ ...คือกะจะขวิดกันให้ตายไปข้างนึง

แต่ไม่ตาย...กิเลสไม่มีวันตาย  ...เพราะนั้นจะเป็นยังไง เมื่อกิเลสไม่มีวันตายตายจริง นี่ แม้แต่เราฆ่ากันจนตาย ก็ไม่ตายนะ ...แต่มันเปลี่ยน...เปลี่ยนสภาพขันธ์ใหม่ เพราะไอ้ขันธ์นี้มันใช้การไม่ได้แล้ว

แต่แค้นนี้ไม่มีวันลืม กิเลสไม่มีวันตาย ยี่สิบปีไม่สาย ใช่มั้ย ...เดี๋ยวกูขอใช้เวลายี่สิบปี มันลากขันธ์ขึ้นมาใหม่ก่อน แล้วมาถึงครบยี่สิบ-ยี่สิบห้าปีนี่วัยกำลังกำดัด มาเลย...บ๋อย เช็คบิลหน่อย ทีนี้ไล่เช็คบิลกันแล้ว

ถึงบอกว่าไม่มีการที่ว่าจะฆ่ากันตายได้จริงๆ นะ การตายการเกิดของเราอย่านึกว่าตายลับดับสูญนะ มันเป็นแค่การเปลี่ยนสภาพขันธ์ใหม่ ...เราก็จะไปเช็คบิลเขา และเขาก็รอที่จะเช็คบิลเรา ไม่ใช่เราจะเช็คบิลเขาอย่างเดียวนะ

เห็นมั้ยว่าการผูกหนี้กรรม การผูกเวรและกรรม ...แล้วเรารู้บ้างมั้ย ว่าเราไปเป็นหนี้ใครไว้บ้าง แล้วเรารู้มั้ยว่าเป็นเจ้าหนี้กับใครบ้าง ...นับไม่ถ้วนเลยแหละ บอกให้เลย

แล้วในขณะเดียวกันที่เราใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันด้วยความไม่รู้ตัว เราก็สร้างลูกหนี้และเจ้าหนี้ขึ้นพร้อมกันไปด้วยอย่างนี้ ...ทีนี้พอถึงเวลามาชดใช้กันน่ะ ก็ว่า... “หนูไม่เคยทำๆ นี่มันเคราะห์ไม่ดี ซวยๆ” 

แล้วมันแก้อะไรไม่ได้ ...ไม่มีอะไรลบล้างกรรมได้น่ะ


โยม –  ภาวนาล่ะคะ

พระอาจารย์ –  ไม่มีอะไรลบล้างกรรมได้ กระทั่งพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลาน์ ...รู้จักพระโมคคัลลาน์มั้ย ท่านตายยังไง


โยม –  ถูกตีจนตาย

พระอาจารย์ –  กระดูกนี่แหลกไม่มีชิ้นดีเลย ...กรรมมั้ยนั่น ท่านหนีได้มั้ย  ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็เรียกว่าเอาภาวนามาลบล้างสิ ก็ไม่ได้ เห็นมั้ย จะเอาอะไรมาลบล้าง


โยม –  โยมนึกถึงเหตุการณ์นั้นน่ะหลวงพ่อ โยมนึกถึงกรรมน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  ทุกอย่างน่ะ...ไม่มีอะไรเกิดมาโดยที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุหรอก  เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่าต้นสายมันอยู่ตรงไหน ...ส่วนมากเราจะเจอแต่ตอนที่มันเป็นปลายเหตุแล้ว


โยม –  แต่ที่เราไม่บาดเจ็บเป็นเพราะว่าเราไปทำบุญมาใช่มั้ยคะ

พระอาจารย์ –  ไม่เกี่ยว อย่าไปคิดอะไรที่นอกเหนือจากปัจจุบัน อย่าไปหาความเป็นจริงอะไรที่นอกเหนือจากปัจจุบัน ...สิ่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ท่านบอกว่า กรรม วิบาก เป็นอจินไตย

คำว่าอจินไตย คือว่า เกินกว่าจิตมนุษย์จะหยั่งถึง ...ไม่มีเหตุไม่มีผลใดมารองรับได้ในความเป็นจริงของกรรม ไม่มีสมมุติบัญญัติภาษาใดในโลกสามโลกจะมารองรับได้โดยชัดเจนว่า...นี้ เพราะอย่างนี้แน่ๆ 

นี่คือกรรมเป็นอจินไตย ...แค่การเกิดมาเป็นคน เป็นผู้หญิงทำไมไม่เป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายทำไมไม่เป็นผู้หญิง นี่ก็มากมายมหาศาลด้วยอำนาจกรรมที่มันผสมกัน กว่าจะหล่อขึ้นมาเป็นวาระภพวาระขันธ์ตรงนี้ 

แล้วจะเอากรรมใดกรรมหนึ่งมาบ่งชี้โดยตรงโดยชัดเจนไม่ได้ มันมากมายมหาศาล ...ยกเว้นพระพุทธเจ้าองค์เดียว ถึงจะตอบได้แบบฟันธง 

แต่ท่านตอบในจิตนะ ซึ่งจะไม่สามารถขยายความออกมาเป็นคำพูดให้มนุษย์เข้าใจได้เลย 

เพราะนั้น หนึ่ง...กรรม สอง...จิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ ความปรากฏกำเนิดขึ้นของโลก เหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านบอกเป็นอจินไตย เกินจิตมนุษย์ปุถุชน หรือแม้แต่จิตพระอรหันต์ทั่วไปจะหยั่งถึง

คือว่าญาณทัสสนะที่เรียกว่า สัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้า ...ท่านเปรียบไว้เหมือนตอนเที่ยงวัน ฟ้าใส คือประมาณความสว่างของพระอาทิตย์ขนาดนั้น  

แล้วญาณปัญญาความรู้ความเห็นของอัครมหาสาวกเบื้องขวา...พระสารีบุตรนี่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ...คือความสว่างระดับนั้น

ญาณทัสสนะของพระอสีติ ...ระดับความสว่างเหมือนดาวฤกษ์ในท่ามกลางเดือนมืดมิด แค่นั้นน่ะ ...เห็นมั้ยว่าความชัดเจนได้แค่ไหน เทียบเอาดูแล้วกัน  

ส่วนความชัดเจน ความรู้เห็นในญาณของพระอรหันต์ธรรมดาที่ไม่ใช่ระดับอสีติ ...เหมือนกับจุดเทียนเดินท่ามกลางมรสุมและคลื่นลม เช่นนั้นน่ะ  

แต่ต่ำกว่าญาณของพระอริยะขั้นอรหัตตบุคคลลงมานี่ เรียกว่าญาณขี้ไก่ มั่วทั้งสิ้น หาความจริงแทบจะไม่ได้เลย เพราะว่าเหมือนเดินลูบคลำไปท่ามกลางความมืด

แต่คราวนี้ว่า เขาเอาสิ่งที่เราไม่รู้ เราไม่เห็น เราไม่เคยได้ยิน มาพูดแค่นั้นเอง ...อันควายน้อยควายดำควายด่อน ก็น้ำลายไหลยืดไปหมด ในความรู้ความได้ยินที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็เชื่อแล้วพากันเดินตามต้อยๆ

เขาว่า เนี่ย บ่อน้ำนั่นน่ะดี ก็ขยิกๆๆ ไป เดินตามเป็นขบวนยาวเหยียด เป็นกลุ่มๆ ไป ...พระแม่องค์นั้น หลวงพ่อองค์นี้ ลูกพระอาทิตย์ ลูกคงคา ลูกแผ่นดิน ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่อะไรก็ไม่รู้ เดินตามกันเป็นก๊กเป็นเหล่าไป

ลูกพระพุทธเจ้าไม่ค่อยมี ลูกสงฆ์สาวกก็ไม่ค่อยเจอ ...ถึงเจอแล้วเรียกบอกให้เดินตามมา ก็ไม่มีใครมา ...ก็กูเป็นคน ก็มึงเป็นควาย (หัวเราะกัน) ใช่มั้ย

อุตส่าห์แปลงภาษาคนเป็นภาษาควายว่า ฮึ่ยๆๆ ให้แล้ว ...มันก็แกล้งทำเป็นไม่รู้


โยม –  หลวงพ่อต้องดึงเลย

พระอาจารย์ –  ท่านถึงต้องให้มีสายตะพายไง เข้าใจมั้ย ...ก็กูพูดภาษาคน แล้วอุตส่าห์ทรานสะเลทเป็นภาษาควายว่า ฮึ่ยๆๆ  เอ้า ไม่ฟัง ก็ดึง ดึงไม่ได้ก็ไม้โซ่ไม้แส้ตี 

เนี่ย วิธีจัดการกับควายต้องมีอยู่ ...ก็มีไม่กี่วิธีหรอก (หัวเราะกัน) ...ยกเว้นมันเอาไม่ได้ เอาไม่อยู่ ก็ปล่อยเข้าโรงเชือดไป นั่น จะเอาลาบสุก ลาบดิบ หรือจะเอาปิ้งย่างแบบเกาหลี มึงไปเถอะตามประสามึง 

นั่นน่ะ คือคุณค่าของควายก็ได้แค่นั้นแหละ คุณค่าของความที่ว่า...ทำไปตามความไม่รู้

ถึงบอกว่า จิตพระอรหันต์ คือธรรมของพระพุทธเจ้านี่เหมือนกับคบไฟที่ชูอยู่ท่ามกลางความมืด ...แล้วพวกเราแต่ละคนนี่...มีกายมีขันธ์เหมือนกับเทียนที่ยังไม่ติดไฟ 

ซึ่งธรรมเขาก็แสดงให้เห็นอยู่นะว่า...ไฟอยู่นี่ ... อยากได้แสงสว่าง มาจุดมาจ่อมาติดไป ...ไม่ห้าม เข้าใจมั้ย ธรรมนี่ไม่ใช่ของหวงห้ามเลย ธรรมนี่เป็นสาธารณะเลย

แต่อยู่ที่ว่า ศรัทธา การน้อมนำ การเข้าหา...ตั้งแต่เข้าหาบุคคลครูบาอาจารย์ แล้วเข้าหาธรรมคือศีลสมาธิปัญญา ...นี้คือการเอาตัวเองคือคบเทียนนี่แหละมาหาไฟ แล้วจุดต่อไป

ทำไมถึงต้องมีคบเทียน ทำไมถึงต้องมาต่อ ...เพราะมันจะได้เดินหาทางเจอ และทางที่จะให้เดิน และให้หาเจอ ก็ไม่ใช่ทางที่ไปลงปลักเหมือนเดิม ...แต่คือทางอันเลิศ ทางอันประเสริฐ...เรียกว่ามรรค

ปัญหาก็คือ คบเทียนนี่ถือ...แล้วก็ไปอยู่ในโลก ...โลกมีอะไร มีสภาวะลมฟ้าอากาศแปรปรวน พายุบ้าง สลาตันบ้าง แผ่นดินไหวบ้าง คนข้างๆ ตาบอดมาเดินชนล้มบ้าง อย่างนี้ เทียนก็ดับ...ได้ง่ายยิ่ง เข้าใจมั้ย

แล้วไง ...จะมะงุมมะงาหรา ตาแตกอยู่ตรงนั้นเหรอ ถ้ามัวก้มหน้าดูดินน่ะจะหาแต่ลงปลักอย่างเดียวล่ะวะ ...ก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็หาแสงสว่างขึ้นมาต่อหน่อย ...เออ ก็เดินกลับไปหาไฟต่อ

พอล้มอีก ไฟดับอีก มันก็เริ่มสังเกต “กูจะโง่ไปถึงไหนวะนี่” ก็เอามือป้องบ้าง ค่อยๆ เดินไปบ้าง ...มีลมมาทำยังไง ลมมาทางนี้ ไปป้องทางนั้นเหรอ ก็ดับน่ะสิ ...โง่ นี่ยังโง่ 

ก็ว่า ป้องแล้วนะๆ ...เอ้า กูเคยสอนมึงอย่างนี้เหรอ (หัวเราะกัน)


โยม –  ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง

พระอาจารย์ – (หัวเราะ) เออ ใช่มั้ย


โยม –  ประสบการณ์สอน

พระอาจารย์ –  เออ ...เข้าใจมั้ย ทำไมถึงบอกว่าต้องภาวนาเอาเอง


โยม –  ใช่ค่ะ

พระอาจารย์ –  พอป้องถูกทาง ลมมาทางนี้ก็ป้องทางนี้...อ้าว ดับอีกแระ แล้วมาถาม “จารย์ ทำไมถึงดับ” ...เอ๊า กูจะไปรู้มึงเร้อ (หัวเราะกัน) จนมันป้องได้ทุกทิศทุกทาง แล้วยังดับเองอีก ไม่รู้มันดับยังไง 

นี่มีอีก มีปัญหาขึ้นเรื่อยๆ นะ ...จนสุดท้ายนี่ มันจะรู้จักวิธีจุดด้วยตัวเองน่ะ ...อยากดับ ดับไป ...ทีนี้ไม่ป้องแล้ว ดับเลย ดับตรงนั้น...กูก็จุดตรงนั้นแหละ 

เนี่ย คือผู้ที่เข้าองค์มรรคแล้ว ...กลัวมั้ยล่ะ กลัวมั้ยที่จะเดินไปท่ามกลางความมืดมิดน่ะ กลัวมั้ยที่จะไม่เจอทางในความมืดมิดในโลก ...ไม่กลัวนะ ไฟดับตรงไหนก็จุดตรงนั้นล่ะวะ

เนี่ย ถึงบอก...รู้ทุกปัจจุบัน ... ลืมตรงไหน...รู้อยู่ตรงนั้น ไฟจุดติดแล้ว นี่สอนวิธีจุดไฟให้ตัวเองนะ ความสว่างรู้อยู่กับปัจจุบันเกิด ความสว่างกายในปัจจุบันเกิด เห็นมั้ย ปัญญามันพาให้เกิดความสว่างขึ้นตรงนั้น

ก็อาศัยความสว่างกายสว่างใจนั้นแหละ เดินไปท่ามกลางความมืดมิดในโลก ...ซึ่งไม่รู้จะเจออะไร ทั้งคำพูดบ้าง คำเสียดสีบ้าง อากัปกริยาจากคนที่รัก คนที่ชังบ้าง


(ต่อแทร็ก 14/15)


  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น