วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/12 (2)


พระอาจารย์
14/12 (570412E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
12 เมษายน 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 14/12 ช่วง 1
http://ngankhamsorn14.blogspot.com/2015/07/1412-1.html)



พระอาจารย์ –  เมื่อมันเห็นในตัวของมันเองว่าเพียบพร้อมอยู่ในองค์ธรรมทั้งหลายทั้งปวงแล้วนี่ ธรรมอื่น ธรรมนอก ธรรมตามตำรา ธรรมตามสาธารณะที่มีอยู่ในห้องสมุดในเว็บอะไร มันทิ้งหมดเลย มันตัดออกไปเลย

มันเห็นธรรมทั้งหลายทั้งปวง ทุกธรรม ไม่ว่าจะเป็นธรรมฝ่ายไหน ฝ่ายก่อกิเลสหรือธรรมที่เป็นฝ่ายลบล้างกิเลส ...มันอยู่ในนี้หมดเลย ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องไปค้นหาความเป็นจริงที่อื่นเลย

ทีนี้มรรค...มันสงเคราะห์ลงในที่อันเดียวเลย กำลังทั้งหลายทั้งปวง แม่น้ำร้อยสายก็พุ่งตรงลงที่นี้ที่เดียวเลย ...มันจึงจะฉุด ดึง กระชากออกจากความยึดมั่นถือมั่นผูกพันอยู่กับกาย กับขันธ์ กับโลกสามโลกได้

มันต้องใช้พลังที่ดีดตัวออกมาจากขันธ์ จากกายนั้น จากโลก จากสามโลก อย่างนี้ ...มันรวมธรรมเป็นหนึ่ง มันก็มีพลังอันยิ่งใหญ่มหาศาลมโหฬาร...เกินคณานับ 

เกินคณานับกว่ากิเลสทั้งหลายทั้งปวงทั้งน้อยใหญ่...จะมาต้านท้านได้ ดึงดันได้ รั้งไว้อยู่ ...ความยึดมั่นทั้งหลายทั้งปวงไม่สามารถยึดถือยึดมั่นกับอะไร กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เลย 

นี่ มันตีแตกหมด ทะลุทะลวงหมดเลย ...นี่คืออานุภาพ พลานุภาพของศีลสมาธิปัญญา...ที่เป็นสัมมา ...ต้องเป็นสัมมานะ

เพราะนั้นให้เข้าใจ ...การที่ต้องใช้เวลาให้หมดไปกับการรู้ตัวอย่างมากที่สุด  จิตมันจะหาอะไร อยากได้อะไร...ทิ้งซะ มันอยากรู้ธรรมอะไรที่นอกเหนือจากกาย...ทิ้งซะ มันอยากได้อะไรที่ดีกว่ากาย...ทิ้งซะ 

ยอมทิ้งซะๆๆ ...สลัดทิ้งอยู่อย่างนี้ จนเหลือแค่กายเงียบๆ กับใจเงียบที่รู้อยู่เห็นอยู่...พอแล้ว ไม่ต้องรู้มากกว่านี้แล้ว

เมื่อมันสามารถรู้อยู่เห็นอยู่แค่กายกับใจ มีอยู่สองอย่าง สภาพธรรมนึงเรียกว่ากาย สภาพนึงเรียกว่ารู้นี่ ...ไม่ต้องไปเพิ่มเติมอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องพาใจดวงนี้ พาจิตดวงนี้ไปค้นหาที่อื่นที่ใดแล้ว

ทรงสภาพนี้ไว้ ...เรียกว่าทรงสภาวะศีล ทรงสภาวะสมาธินี้ไว้ บ่มด้วยศีลสมาธิไว้ ...เดี๋ยวจะได้ของกินที่สุกงอมอร่อย ...คือปัญญา 

ปัญญาที่เข้าใจเองชัดว่า...มันไม่ใช่เรายังไง ชัดว่ามันไม่ใช่หญิงชายยังไง ชัดว่าหาความเป็นบุคคลไม่ได้ในส่วนใดส่วนหนึ่ง ชัดมากกว่าแต่ก่อนอีก

ตอนนี้ พวกเรายังต้องพยายามทำให้มันเห็นชัดว่ามันเป็นอย่างนั้นนะ โดยตัวสภาพมันยังไม่บ่งบอกอย่างชัดเจนเลย แต่พยายามน้อมนึกนี่ ว่ามันไม่ใช่เราจริงๆ นะ 

พยายามน้อมให้เห็นถึงจุดนี้ ทำไปเหอะ ...ทีนี้มันจะชัดในสภาพขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องไปกดคอไว้ว่า เชื่อนะ ในขณะที่จิตมันยังดื้ออยู่ ยังโอหัง อหังการ...จิต "เรา" น่ะ

แต่มันสู้ไม่ได้กับผู้มีความเพียร...เพียรอยู่ในมรรค เพียรสร้างมรรค เพียรรักษามรรค เพียรทำความก้าวหน้าเพิ่มเติมขึ้นในองค์มรรค เพียรทั้งนั้นน่ะ...อิทธิบาท ๔

ใช้เวลาให้มันหมดไปกับการรู้ตัว มากกว่าไปทำอย่างอื่น ทั้งคิดหาธรรม ทั้งเพื่อให้ได้ธรรมอันสูงส่งใดๆ ที่นอกเหนือจากการรู้ตัว...ไม่เอา

จะกำหนดตรงไหนเป็นตัวก็ได้ อะไรเป็นตัวก็ได้...ตึงๆ แน่นๆ วูบๆ ของลมก็ได้ ลมหายใจกระเพื่อมก็ได้ การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวก็ได้ การตึงการแน่น เหล่านี้

การเป็นก้อนกองที่มันสุมกองรวมกันก็ได้ หรือแม้แต่จะเป็นทรวดทรง รูปทรงของอิริยาบถปัจจุบันก็ได้ ...นี่เขาเรียกว่าให้มันอยู่ในแวดวงกาย

เหล่านี้จึงจะเรียกว่าก่อร่างสร้างสัมมาสติขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ...เพื่อให้เข้าถึงเนื้อศีล ธรรมที่เรียกว่าศีลที่แท้จริง แล้วทุกอย่างมันจะเป็นไปตามครรลองขององค์มรรค ...ให้ตั้งความเชื่อนี้มากๆ

เพราะนั้นความเชื่อนี้มันจะอยู่ได้มากๆ นี่ หนึ่ง...ต้องปฏิบัติ สอง...อย่าไปฟังอย่าไปอ่านมาก มันจะจูงออก มันจะล่อให้หลงในธรรม ที่ดูดี ดูสวยหรู ดูเพริศแพร้วอลังการ ดูง่าย ดูไว ดูมีคุณค่ากว่า 

เสร็จ...เสร็จมัน บอกให้เลยว่า จิตน่ะมันพร้อมที่จะถูกหลอกอยู่ตลอดเวลาเลย..."เรา" น่ะ บอกให้เลย

Shut down ตาหูจมูกลิ้นกาย ปิดเลย ไม่ต้องไปรู้ธรรมะอะไรสำนักไหน คำสอนไหน ตำราพระไตรปิฎก ไม่รู้น่ะ ... รู้ที่เดียวกายเดียวนี่ โง่เข้าไว้ ชัทดาวน์ สำรวมอินทรีย์ไว้

แต่อยู่ไปสักพักนึง ...ก็ได้สักพักนึง มันจะกระหายแล้ว กระหายความรู้ หูมันทนไม่ได้ เดี๋ยวคนนั้นก็พูด เดี๋ยวคนนี้ก็พูด ก็กระแซะๆ ไปหาแล้ว หาความรู้จากเสียง

ต้องอดทนกันนะ ...อดทนต่อรูปรสกลิ่นเสียงนะ อดทนต่อความอยากที่จะเข้าไปเสวยรูปรสกลิ่นเสียงนะ อดทนต่อการที่จะเข้าไปต่อเนื่องกับรูปรสกลิ่นเสียงนะ 

อย่าเสียดายรูปเสียงกลิ่นรสนั้นๆ ว่าจะดี ว่าจะเป็นทางนำพาให้เกิดความรู้ที่ดี ความเป็นไปที่ดี หรือหนทางที่ดีที่ใช่กว่า ...มันหลอก

ที่นี้ ที่เดียว เอโกธัมโม เอกังจิตตัง จิตหนึ่งธรรมหนึ่ง กายหนึ่งจิตหนึ่ง อยู่ตลอด ...โง่เป็นโง่กันละวะ ไม่รู้อะไรนอกจากกาย ...ก็ไม่รู้ล่ะ ต้องเด็ดเดี่ยวกันอย่างนี้เลย เด็ดเดี่ยวในศีลสมาธิปัญญาหรือรู้ตัว

เพราะนั้นความรู้ความเข้าใจที่เคยทำเคยปฏิบัติมา เอากองไว้ห่างๆ แค่กองไว้ห่างๆ นี่ก็ยากแล้ว ถ้าขว้างทิ้งเลยยิ่งดี แต่มันทิ้งไม่ได้ เพราะสัญญายังมี...มันมีรสชาติ ...แต่อย่าให้มันมีกำลังหนุนเกิน แค่นั้นเอง

ฝึกทวนๆ ...ไม่รู้ไม่ได้อารมณ์อะไร ไม่มีทั้งความสุข ไม่มีทั้งความทุกข์ ไม่มีทั้งความรู้ในธรรม ไม่ได้ความรู้ในธรรม ไม่ได้ความละความวาง ไม่ได้ละกิเลสได้สักตัว ไม่ได้เกิดความเข้าใจอะไรเลย 

มีแต่กายๆๆๆ กับรู้ กับยืนเดินนั่งนอน ... เอาเหอะ เดี๋ยวกิเลสมันจะแสดงความเฉาตัวของมันให้เห็นเองน่ะ แล้วความตื่นรู้ตื่นเห็นในธรรมภายในก็จะเกิดขึ้น...คือสมาธิ

เอ้า เอาแล้ว ไป ฝึกกันมากๆ อย่ามัวแต่คุย อย่ามัวแต่นอน


(เว้นช่วงสนทนาทั่วไปกับโยมและสนทนาเรื่องจิต)


พระอาจารย์ –  สันดานไม่ดี จิตนี่ สันดานไม่ดี


โยม –  มันไวมากเลย

พระอาจารย์ –  อือ มันออกตรงไหนมันก็ไปทิ้งไข่ให้เกิดตรงนั้น


โยม –  บางทีมันก็ทัน

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ บอกแล้วว่า จิตจะไวขนาดนั้น ไม่มีทางไวเท่าสติ บอกให้ ...ไม่งั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่บอกวิธีแก้หรอกว่า จิตน่ะจะแก้ยังไง...ด้วยการระลึกรู้อย่างเดียว รู้ปุ๊บ หยุดปั๊บ

แต่มันหยุดได้ไม่นาน เข้าใจมั้ย ...มันต้องมีที่ตั้ง มันจะต้องมีที่ตั้ง ต้องเอาจิตมันมาตั้งอยู่กับกาย เป็นที่ตั้ง ถ้าไม่ตั้งอยู่นี่ มันจะรู้ปุ๊บแล้วก็ไป รู้ปุ๊บแล้วก็ไปๆ 

นี่เขาเรียกว่าไม่มีฐานกาย มันต้องเอาจิตมาตั้งอยู่บนฐานกาย แล้วตัวจิตจะอยู่ในฐานที่เป็นต้นตอของจิตก็คือตัวใจ ...นี่ ฐานกายฐานใจจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา

แต่ถ้าไม่สามารถเอาจิตดึงหรือน้อมมาลงฐานนี่ จิตจะไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองเลย ...มันจะมีอาการทะยาน ด้วยแรงอำนาจผลักดันของตัณหา 

ตราบใดที่อวิชชายังมีอำนาจ จิตจะต้องถูกผลักออกด้วยอำนาจของตัณหาตลอดเวลา...ทั้งเจตนาและไม่เจตนา ...นี่คือสันดาน นี่เนื่องด้วยอนุสัยเลย 

แก้ไม่ได้...แต่เท่าทันได้ ...ให้เท่าทันไว้ แล้วมันจะหยุดได้...แบบชั่วครั้งชั่วคราวไปก่อน จนมันหยุดด้วยความสนิทใจ ...นี่ สมาธิ สัมมาสมาธิ

เพราะนั้นมันจะต้องมีที่หยุด ...จะไปหยุดอยู่กับจิตไม่ได้ จะไปหยุดอยู่กับฐานใดฐานหนึ่งที่นอกเหนือจากฐานกายไม่ได้ ...เพราะนี่คือศีล นี่คือรากเหง้า นี่คือรากฐานของธรรมเลย ...ทิ้งไม่ได้เลย 

ทิ้งปุ๊บ...ไปๆ ออกนอกกายไป ...เละเทะหมด บอกให้


โยม –  มันไม่ออกอย่างเดียวน่ะหลวงพ่อ มันชอบไปปรุงด้วย

พระอาจารย์ –  นั่นแหละคือมันไปสร้างบ้านเล็กบ้านใหญ่ สร้างบ้านในความฝัน สร้างความน่าจะเป็น น่าจะมี น่าจะได้ น่าจะถือครองได้นาน น่าจะมีความสุข ... น่าจะ...ทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่เคยได้

มัน “น่าจะได้” ประมาณล้านนึง แต่ไอ้ที่ได้ไม่ถึงครึ่ง...ของหนึ่งนะไม่ใช่ครึ่งของล้านนะ ...แค่นี้ก็ตายใจกับมันแล้ว


โยม –  มันหลอกน่ะหลวงพ่อ

พระอาจารย์ –  ฮื่อ ถึงบอกให้เชื่อในศีล ...ที่นี้ไม่หลอก ที่นี้แสดงความเป็นจริงล้วนๆ แล้วเป็นความเป็นจริงที่จะไปลบล้างความกระจัดกระจายขึ้นมาของจิตด้วยซ้ำ

รักษากายที่เดียว...เอาจิตอยู่ บอกให้ ...แต่ถ้าไล่ดูจิตอย่างเดียว ไม่มีทางเอาจิตอยู่เลย มีให้ดูจนวันตาย แล้วก็ได้เกิดมาให้ดูใหม่อีกด้วย


โยม –  มันชอบตามไปน่ะหลวงพ่อ

พระอาจารย์ –  กระชากกลับ สลัดทิ้ง ตัดเลย ..."ไม่เอาโว้ย" บอกตัวเองเลย...ไม่เอา ...คัดค้านความเป็นเราบ้าง ต่อต้าน ปฏิวัติ ขัดคำสั่งบ้าง ...แม้จะอึดอัดหน่อย 

ขัดคำสั่งของความคิดของเราซะ นะ "ไม่ต้องคิดมากน่ะ ไม่เอาๆ" นี่ บอกมันได้ ด่าเข้าไปแรงๆ ตัวเอง ด่าเข้าไป "มึงจะคิดไปหาโคตรพ่อโคตรแม่รึไง" เนี่ย ด่าได้ไม่ต้องกลัว

เพื่ออะไร ...เพื่อให้มันกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว  อย่าเสียดาย อย่าไปคิดว่าในความคิดในจิตน่ะ หรือการออกไปจดจ่อดูมันเกิดดับแล้วมันจะได้มรรคได้ผล 

มันหลอกน่ะ มันไม่มีสาระแก่นสารแต่ประการใด ...จิตคือความไร้สาระ บอกให้เลย


โยม –  จริงๆ นะหลวงพ่อ พอไปเสร็จแล้วมันก็ไปจมจ่อม แล้วก็ไปเพลิดเพลินไม่ยอมกลับ

พระอาจารย์ –  อือ ให้เชื่อกายเชื่อศีลแล้วจะได้ดี


โยม –  พอเอามันกลับมาที...แบบศีลอย่างนี้อย่างที่หลวงพ่อบอก มันรู้สึกกระวนกระวาย  มันเหมือนจะทนไม่ได้

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ เขาเรียกว่ามันถูกแผดเผาด้วยอำนาจของศีล กิเลสมันถูกแผดเผา ...กิเลสคือตัว “เรา” ...หน้าเหมือนเราเด๊ะเลย 

มันถูกเผาไหม้ด้วยไตรสิกขา มันกำลังทำให้มันเหือดแห้งไป ... เพราะนั้นมันจะเหมือนกับ...ละก็เป็นทุกข์ ตามมันก็เป็นทุกข์...สองอย่าง ไม่รู้จะเอาแบบไหน 

ก็ ... ละซะดีกว่า


……………………..



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น