วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/16 (1)


พระอาจารย์
14/16 (570415D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 เมษายน 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ : แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นการภาวนา...พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ไปหาอะไรที่ไม่จริงมาทำเลย พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ออกนอกความเป็นจริงเลย 

แล้วพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ต้องไปหาความเป็นจริงที่อื่น ความเป็นจริงนี้มีอยู่ในขันธ์ห้าแล้ว ไม่ต้องไปหาขันธ์ห้าที่อื่น ...แค่หยุด หยั่ง ก็รู้ว่าขันธ์ห้าปรากฏอยู่ตรงนี้แล้ว โดยมีกายนี่เป็นตัวรองรับขันธ์ทั้งห้า

ถ้าปรับศรัทธาความเห็นในการปฏิบัติให้เชื่อในความจริงเหล่านี้ แล้วปฏิบัติให้ตรงต่อความเป็นจริงตรงนี้ ตอนนี้ ...รับรอง กิเลสก็กิเลสเถอะ จิตก็จิตเถอะ ...หลอกกันได้ยากหน่อย 

คือกว่าจะกินกูได้นี่ก็ยากหน่อยล่ะวะ ...แต่ก็ยังกินได้อยู่ เข้าใจมั้ย  ไม่ใช่ว่าสุตตมยปัญญา กับจินตามยปัญญาที่คิดว่าเข้าใจแล้วนี่ เป็นยาครอบจักรวาล ...ยังครอบไม่ได้

แต่ถ้าเอาไปทำเป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมาแล้ว คราวนี้ก็มีแต่ว่าเห็นมันหลอกเต้นแร้งเต้นกาไปอย่างนั้น ...นี่คือจะเห็นอาการของจิต เห็นอาการของความคิด เห็นอาการของความอยากต่างๆ นานา

เหมือนกับมันเต้นแร้งเต้นกาให้ดู...แบบไร้สาระ มันเต้นแร้งเต้นกาแบบไร้สาระ แล้วไงล่ะ ทีนี้ไอ้ตัวที่เต้นแร้งเต้นกาจะว่า “กูไม่ได้ทิปเลยหรือเนี่ย ทิปก็ไม่ได้ ค่าจ้างก็ไม่มีเหรอ เหนื่อยว่ะ”

ทีนี้ พอเป็นอย่างนี้ มันก็ยิ่งเห็นเต้นแร้งกาใหญ่ เพื่อเรียกร้อง เร่ง เร้า ทีนี้มันก็จะเต้นแบบสุดฤทธิ์สุดเดช จะเอาล่ะว่า  “ขอทิปหน่อยๆ อย่างน้อยคำชมก็ยังดี”

ก็เฉย เมินเฉยไว้ ...มันก็หมดอาชีพไปเอง ...สังขารความปรุงแต่งในจิตหยุดโดยปริยาย เพราะไม่มีกองเชียร์ ไม่มี “เรา” เป็นคนเชียร์แขก แล้วไม่มีคนตามเข้าไปอุ้มชูสมสู่ เสพข้องกับมัน เข้าใจมั้ย 

มันก็พยายามจะมาคอยเต้นแร้งเต้นกา “เอาหน่อยน่าๆ” อยู่นี่ จนน่ารำคาญ นั่นแหละ คือรู้ตัวแล้วมันก็ยังไม่หมดจากความคิด ขณะที่รู้ตัวนี่ก็ยังไม่หมดจากอารมณ์ที่ตกค้าง เห็นมั้ย น่ารำคาญนะ

ก็ดูมันเฉยๆ อย่าไปหลงคารมมันล่ะ ใจแข็งๆ หน่อย ตั้งมั่นให้ดีหน่อย อดทนหน่อย เดี๋ยวมันก็เหนื่อยไปเอง ...ถ้ามันไม่มีทิปไม่มีรายได้ ไม่มีอะไรไปหล่อเลี้ยง มันก็เสื่อมสลายจากสภาพ...หมดสภาพไป

เพราะอาการความเป็นไปของมันก็คืออุปาทานขันธ์ คือขันธ์ที่สร้างขึ้นมาลอยๆ ขันธ์อดีต ขันธ์อนาคต ความสุขในอดีต ความสุขในอนาคต ...นี่ พวกนี้เป็นอุปาทานหนึ่ง

แต่มันก็ยังไม่ละความพยายามหรอก เข้าใจมั้ย ... กิเลสน้อยใหญ่นี่ มันไม่ใช่ว่าจะละทีเดียวแล้วนี่ เห็นความดับไปสลายไปของจิตของอารมณ์แค่ทีเดียวแล้วนี่ มันจะหายไปแบบเบ็ดเสร็จ

มาอีก เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาอีก ท่ามกลางความที่กำลังรู้ตัวนั่นแหละ ...อย่าไปสงสัย ก็รักษาไว้ ทรงไว้ เข้มข้นกับความรู้ตัวเข้าไว้ วนเวียน ซ้ำซากอยู่ในกองกาย กองอาการของกาย กองความรู้สึกในกายแต่ละส่วนๆ ไว้


โยม –  ก็คือต้องหมั่นภาวนาใช่ไหม

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องหมั่น ...แค่ทุกลมหายใจเข้าออกเอง (โยมหัวเราะกัน) ...ตราบใดที่ยังมีลมหายใจเข้าออก ภาวนาต้องเหมือนลมหายใจเข้าออก


โยม –  มันลืมน่ะค่ะ มันลืม

พระอาจารย์ –  ธรรมดาไอ้ลืมนี่  ก็เป็นสิ่งที่พวกเรา...ต่อไปจะต้องไม่มีคำว่าลืม


โยม –  ทำยังไง

พระอาจารย์ –  ทำบ่อยๆ ตั้งใจมากๆ


โยม –  ...ก็พุทโธๆๆ

พระอาจารย์ –  อย่างงั้นน่ะ ถี่ๆ


โยม –  แล้วพอขึ้นรถมันก็ลืมไปเลย

พระอาจารย์ –  ก็รู้ใหม่ ...มันไม่เห็นมีอะไรมาขัดขวางการรู้ตัวใหม่ได้นะ หือ มีอะไรมาขัดขวางได้มั้ย คนนั่งข้างๆ มาขัดขวางมั้ยว่า “เธอจะมารู้ตัวหรือ ชั้นไม่ให้เธอรู้” (หัวเราะกัน) งั้นใช่มั้ย

อย่าไปเออออให้มัน แค่นั้นเอง ... เพราะนั้นน่ะ หักลำมันซะ ยูเทิร์นๆ ซะเลย ยูเทิร์นตรงนี้ ...อย่าไปยูเทิร์นโค้งหน้า 


โยม –  ก็ไปยูเทิร์นหลายโค้ง มันกลับมายาก

พระอาจารย์ –  ก็นั่นน่ะสิ  อยู่นี่ จะไปยูเทิร์นแม่ริม บ้ารึเปล่า ว่าให้ถึงแม่ริมก่อนค่อยยูเทิร์น เอ้า ไปไกลเลยนะนั่นน่ะ ...ต้องในปัจจุบัน รู้ปุ๊บ ตรงนั้น ปั๊บ 

ต้องตรงนั้นๆๆ อย่าไปว่า...เฮ้ย รอให้รถถึงที่ก่อนค่อยรู้ เข้าใจมั้ย อย่างนั้นไม่ทันแล้ว เรียกว่าปล่อยให้กิเลสความหลงมันยืดยาว ...ต้องให้มันฉับพลันทันตายน่ะ ตายมันทุกปัจจุบันไป 

แล้วก็หล่อเลี้ยงศีลสมาธิปัญญาด้วยความตั้งใจ พากเพียร นี่หล่อเลี้ยงแทน...แทนที่กิเลส  กิเลสมันก็อ่อนตัวลงไปๆ เองน่ะแหละ ...ขอให้ทำไปเถอะ อย่าท้อถอย อย่าภาวนานั่งนับวันเวลานาทีอยู่


โยม –  การที่เรายังใช้ชีวิตทางโลกอยู่ แล้วเรามาภาวนานี่ พอเวลาเราออกไปใช้ชีวิตน่ะ มันจะมีบางอย่างเปลี่ยนไปน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  เปลี่ยนก็เปลี่ยนไป


โยม –  แล้วถ้าเกิดว่ามีคนสังเกตเห็น เราไม่บอก แต่คนที่มีปัญญาเขาก็สังเกตเห็น แต่กว่าเขาจะเห็นก็หลายปี แล้วถ้าเขาเห็นแล้วนี่เขาพูดล่ะว่าไอ้นี่ไปวัดมา

พระอาจารย์ –  แล้วยังไง


โยม –  แบบเขาชอบล้อน่ะ

พระอาจารย์ –  ล้อแล้วทำไม ...จะมาเอาพลาสเตอร์จากเราไปปิดปากมันมั้ย


โยม –  ก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราไปวัดน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  ก็จะเอาพลาสเตอร์ไปปิดปากเขาได้มั้ย มันห้ามเขาได้มั้ยล่ะ แล้วเราไปกังวล อินังขังขอบเกินไปมั้ย  ...นี่ ปัญหามันอยู่ตรงไหน แก้ให้มันถูกที่ดิ 

จะมาขอพลาสเตอร์จากเรารึไง เราไม่ให้ ...มันแก้ไม่ได้


โยม –  คนที่มาถือศีลภาวนานี่ พอกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเก่า มันจะมีพฤติกรรมบางอย่างหายไปน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  ใช่


โยม –  แล้วคนเขาก็จะสังเกต

พระอาจารย์ –  สังเกตก็สังเกตไปสิ ...ก็เราจะลาออกจากโลกแล้ว แบบ “มึงเข้าใจกูบ้างมั้ยเนี่ย กูไม่ได้เป็นคนประเภทเดียว เผ่าพันธุ์เดียวกับมึงแล้ว กูกำลังจะลาออกจากเผ่าพันธุ์มึง”


โยม –  แต่เวลาพอเพื่อนชวนไปทำกิจกรรมอย่างเดิมๆ น่ะ แม้เราจะไป แต่เราก็ไปทำขึงขังไม่ได้

พระอาจารย์ –  เออ ก็เก็บไว้ภายใน ก็ไม่ต้องไปโอ้อวดใครว่า “นี่ กูกินไปยังงั้น กูเที่ยวไปยังงั้นน่ะ”


โยม –  คือเราก็ยังอยากทำพฤติกรรมแบบนั้นอยู่ แต่เราก็ทำไม่ได้

พระอาจารย์ –  เออ คือมันเป็นพฤติกรรม เข้าใจคำว่าพฤติกรรมที่คุ้นเคยมั้ย ...แล้วเรายังติดข้องในพฤติกรรมนั้นอยู่


โยม –  เราก็ได้แต่นั่งดูเพื่อน เราก็อยากไปทำอย่างนั้น แต่เราทำไม่ได้

พระอาจารย์ –  เออ เขาเรียกว่ามันยังอาลัยอาวรณ์ในพฤติกรรมนั้นอยู่ ...ภาวนาไปเหอะ รู้ตัวไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเกิดภาวะที่เรียกว่า...ละลายพฤติกรรม

มันจะเกิดความละลายพฤติกรรมแบบที่เรียกว่า ไม่มีจิตแม้แต่แว้บหนึ่งที่อยากจะไปด้วยความที่ว่าเกรงใจเขา กลัวเขาจะไม่เข้าใจเรา กลัวเขาจะมองเราผิดพลาดไปจากภาพเดิมๆ

เข้าใจคำว่า “ภาพเดิมๆ” มั้ย แล้วเรายังไปอุ้มชู "ภาพเดิมๆ" ...ตีความหมายดิ ปัญญาหยั่งลงไปดิ "ภาพเดิมๆ" คือภาพอะไร ...คือภาพที่ดับไปแล้ว ใช่มั้ย

แล้วยังคิดว่ามันมีอยู่จริงอีกเหรอ แล้วยังไปอุ้มชู เหนี่ยวรั้งหรือประคับประคอง "ภาพเดิมๆ" นี่อ่ะนะ ...มันไม่จริง ...มันไม่มีแล้วไอ้ภาพเดิมๆ นั่นน่ะ

ทุกภาพน่ะ มันไม่มีซะทั้งนั้น...มันไม่มีตั้งแต่ไม่ปฏิบัติธรรม มันไม่มีตั้งแต่ปฏิบัติธรรม มันไม่มีตั้งแต่ที่ยังอีเหละเขละขละอยู่นั่น ...ภาพเดิมๆ จริงๆ มันไม่มี

แต่ด้วยความไม่รู้ไง มันเข้าไปอุ้มชูรักษาภาพเดิมๆ ของ “ตัวเรา” อยู่ ...เห็นมั้ย “เราในอดีต” ยังไม่ทิ้งอีกนะนั่นน่ะ

เหอะ แล้วจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น กระจ่างขึ้นว่า...มันจะไปบ้าบออะไรกับภาพเดิมๆ ซึ่งมันไม่มี ไม่ว่าจะเป็นภาพผู้ปฏิบัติหรือผู้ไม่ปฏิบัติก็ไม่มีทั้งนั้นแหละ 

มันก็...เออ ไม่เดือดร้อน ล้อก็ล้อไป ด่าไป เสียดสีไป ก็ไปเจอแต่ภาพเดิมๆ ไม่โดนเรา


โยม –  แต่เรายังโกรธอยู่...ภาพเดิมๆ แต่ยังโกรธอยู่

พระอาจารย์ –  อือ เพราะมันไปถือเอาภาพเดิมๆ นั้นว่าจริงอยู่ มีอยู่ เที่ยงอยู่ จับต้องได้อยู่ ...มันลมนะนั่นน่ะ ลมนะ ลมๆ แล้งๆ นะนั่นน่ะ ...แต่มันไม่รู้หรอก โดยปัญญาขั้นปุถุชนจะไม่รู้

พอมาภาวนา...เบื้องต้นก็จะค่อยๆ กระจ่างขึ้น ทุกข์กับภาพในอดีต ทุกข์กับการกระทำคำพูดของเราในอดีต ก็จะเริ่มไม่ค่อยเข้าไปแยแสกับมันมากสักเท่าไหร่ 

แต่ก็ยังอดไม่ได้ ...นี่ เขาเรียกว่าพฤติกรรมเดิม หรืออนุสัยสันดาน มันยังติดยังข้องอยู่ มันจึงเกิดภาวะหนึ่ง อารมณ์หนึ่งท่ามกลาง ...สภาวะนี้เรียกว่า...กระอักกระอ่วน 

นี่ มันจะสร้างอารมณ์ปัจจุบันขึ้นมาเป็นกระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดไม่ได้ อธิบายไม่เป็น มันถูกอารมณ์นี้ในปัจจุบันบีบคั้นอยู่ ...แล้วจะแก้ยังไง ...อย่ามาหาพลาสเตอร์กับเรา 

อดทน อดทนอยู่กับเนื้อกับตัวไว้ ตัวนี้คือตัวผลของการที่อดทนรู้ตัวกับปัจจุบัน ...ตัวนี้จึงจะเข้าไปละลายพฤติกรรมเดิม ความเชื่อแบบเดิมๆ ความติดข้องแบบเดิมๆ การกระทำแบบตามธรรมเนียมเดิมๆ

ทีนี้มันก็เกิดความกล้าหาญ อาจหาญ ...จะทำ - จะไม่ทำ จะทำแบบเดิมๆ - จะไม่ทำแบบเดิม  คนเขาจะพูดดี คนเขาจะพูดไม่ดีเมื่อกระทำหรือไม่กระทำอย่างที่เคยมาก่อน ...มันก็เฉย ไม่หวั่นไหว

พอเฉยไปเฉยมาๆ ไอ้คนพูดน่ะแหละจะริ่มหวั่นไหว มันจะเดือดร้อน ...เดี๋ยวมันก็หยุดพูดเองน่ะ แล้วมันก็จะเริ่มเข้ามาพิสูจน์ทราบว่าความเป็นจริงเพราะอะไร

นี่ ต้องเอาตัวเราแสดงอย่างนี้นะ เอาธรรมเข้าไปเป็นเครื่องพิสูจน์นะ ไม่ใช่เอากิเลสไปพิสูจน์เขา ...เอาธรรม เอาศีล เอาสมาธิปัญญา...ที่มีอยู่ ที่ทำอยู่ ที่รักษาอยู่...เป็นเครื่องพิสูจน์

ซึ่งมันจะต้องพิสูจน์เอาเองน่ะ ...คนอื่นถึงเขาไม่พิสูจน์ก็ไม่เดือดร้อน เราก็ก้มหน้างุดๆ ทำหน้าที่การงานภายในของเรา คือการเขียนแบบฟอร์ม...เพื่อจะเซ็นใบลาออกจากโลก

ซึ่งตอนนี้มันยังเขียนแบบฟอร์มไม่เสร็จ ...คือกรอกแบบฟอร์มไม่เสร็จนี่ เจ้าหน้าที่เขาไม่รับ 

แต่ไม่ใช่ไปเขียนใบสมัครงานเดิม...งานการเกิด การใช้ชีวิตในโลก การเกาะเกี่ยวข้องแวะ พบปะสังสรรค์ มีพ่อแม่ ครอบครัว มีเพื่อน มีคนรัก-คนเกลียด มีคนดีคนเลว มีการกระทำที่ต้องรู้ต้องเห็น 

เหล่านี้...นี่คืองานประจำ งานเดิมของพวกเรา


(ต่อแทร็ก 14/16 ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น