วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/4 (1)


พระอาจารย์
14/4 (570407D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
7 เมษายน 2557
(ช่วง 1)



(หมายเหตุ : แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความค่ะ)

โยม –  พระอาจารย์คะ ที่พระอาจารย์เคยบอกว่าเห็นอสุภะตั้งแต่เด็ก แสดงว่าเมื่อก่อนเจอหลวงปู่ก็ภาวนา พระอาจารย์ภาวนาเองหรือคะ

พระอาจารย์ –  อือ นั่งสมาธิทุกวัน


โยม –  แล้วไม่มีคนสอน

พระอาจารย์ –  อ่านหนังสือ


โยม –  พระอาจารย์ก็มีพื้นฐานที่จะไม่เอากิเลสมาก่อนหรือคะ

พระอาจารย์ –  ลึกๆ มันก็มี แต่ว่าอำนาจของกิเลสมันก็มาก มันก็พัดพาไป เสียเวลาไป ...เราบวชอายุเท่าไหร่...ยี่สิบสอง


โยม –  โห แสดงว่าพระอาจารย์ทำงานแป๊บเดียวเองสิคะ

พระอาจารย์ –  สองปี ...ยังเสียเวลาไปตั้งสองปี


โยม –  แค่สองปีเองค่ะ

พระอาจารย์ – (หัวเราะ) เวลานี่ จะไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ถ้าเข้าใจ...แล้วก็รู้จักหลัก ไอ้ที่มันเสียเวลานี่ เพราะไม่เข้าใจ แล้วไม่รู้จักหลัก แค่นั้นเอง ...กว่าที่มันจะหาหลัก จับหลักได้นี่ ตรงเนี้ย ที่มันเสียเวลา


โยม –  แล้วต้องมีอธิษฐานบารมีในใจแรงมาด้วยรึเปล่าคะ ว่าแบบ...มุ่งจะมาทางนี้ มันถึงแบบ...

พระอาจารย์ –  เอ๊า มันเป็นการสะสมมาทุกภพทุกชาติอยู่แล้ว มันไม่ใช่...มันไม่ใช่อยู่ดีๆ มันมาได้ในชาติปัจจุบัน


โยม –  อย่างโยม โยมรู้สึกว่าโยมเป็นคนที่อธิษฐานบารมีแรง คือแบบถ้าทำก็ทำเลย ถ้าทำ...มันก็จะมุ่งไป

พระอาจารย์ –  มันมีทุกคนแหละ ไม่งั้นมันไม่ได้มาฟัง ไม่มาได้ยินธรรมในลักษณะเช่นนี้หรอก ...มันไม่ใช่โชค ไม่ใช่ดวง ไม่ใช่วาสนา คราวเคราะห์คราวบุญอะไรหรอก 

มันเป็นการสะสมของตัวเองมา เหตุปัจจัยมันก็หนุนเนื่องให้มาได้ยินได้ฟัง ได้รับกระแสธรรมในลักษณะที่ตรง ที่ใช่ ที่ถูก ที่ไม่ไปค้างไม่ไปติดในส่วนที่ออกนอกจากองค์มรรค


โยม –  เหตุปัจจัยนี่ ต้องเห็นธรรมนี่สำคัญมากๆ หรือเปล่าคะ

พระอาจารย์ –  มันเคยมีมาแล้ว ...เหมือนลูกศรที่ยิงออกไป ถ้าไม่มีเป้าน่ะ มันก็ไม่โดนเป้า  แต่ถ้ามันมีเป้า ยังไงมันก็ต้องเข้าเป้าน่ะ


โยม –  แต่คนอื่นบางคนเขามีหลายเป้า

พระอาจารย์ –  นั่นน่ะสิ ... ก็จนกว่ามันจะมีคนมาชี้บอกว่าเป้าไหนถูกที่สุดน่ะ ไม่งั้นมันก็ออกนอกเป้า แล้วก็ออกนอกเป้าที่แท้จริง ...ก็ต้องวนเวียนไป วนเวียนมา ภาวนาล้มลุกคลุกคลานไปมา

พวกเราก็ผ่านขั้นตอนนี้กันมาก่อนแล้ว ...แต่อาจจะไม่ได้ผ่านขั้นตอนนี้มาในชาตินี้ เข้าใจมั้ย  มันก็เคยทำ แล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน ทุกคนจะต้องเป็นอย่างนั้น พระอริยะทุกองค์จะต้องเป็นอย่างนั้นก่อน 

แล้วมันก็มาเต็มพร้อมในชาติสุดท้าย หรือในชาติใกล้สุดท้าย ...มาเริ่มเห็นว่ามรรคคืออะไร ศีลสมาธิที่แท้จริงอยู่ที่ไหน คืออะไร ทำอย่างไร ปฏิบัติอย่างไรถึงเรียกว่าตรงต่อศีลสมาธิปัญญาอย่างแท้จริง 

ตรงนั้นก็เรียกว่ามันเริ่ม...เริ่มที่จะเข้ารูปเข้าร่างแล้ว ...แต่ก่อนที่จะมานี่ ใช้เวลามาเนิ่นนาน ในการแสวงหา หรือเข้าสู่องค์มรรคที่แท้จริง

อาจจะไม่ได้ทุ่มเทอยู่ในโลกร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะทุ่มเทในการภาวนา...แต่ก็ไปหลับหูหลับตาทำอะไรไปเรื่อยเปื่อยมาก่อนทั้งนั้น ...ไม่มีใครหรอกที่อยู่ดีๆ แล้วก็มาเข้ามรรคได้แบบเป๊ะ...ในชาติเดียวเลย


โยม –  โยมว่าที่มันน่ากลัวก็คือ เราคิดว่าเราทำถูกแล้ว

พระอาจารย์ –  ถึงต้องมีสงฆ์ไง ที่คอยแก้ไขดัดแปลง ซ่อมแซม ปรับปรุง ให้มันเข้าสู่สภาพของมรรคที่แท้จริง


โยม –  แต่สมัยนี้เราก็ไม่รู้ว่าเราตามใครได้

พระอาจารย์ –  มันก็อย่างนี้ ลูบคลำไป สะเปะสะปะไป ...แต่อย่าทิ้งการภาวนา 

อานิสงส์แห่งการภาวนานั่นแหละ...จะถูกจะผิดก็ตาม  มันก็จะพามาจนถึงจุดที่สุด ที่ตรงที่สุดได้เอง ขอให้ไม่ออกจากอธิษฐานที่ว่านิพพานเป็นที่สุด แค่นั้นเอง ...ไม่ต้องกลัว 

ด้วยสัจจาธิษฐานที่นิพพานเป็นที่สุด...เพื่อให้แจ้งนิพพาน  จะปฏิบัติผิด ปฏิบัติถูก  แม้จะเชื่อคนผิด เชื่อคนไม่ถูก ...ยังไงก็หนีพ้นหรอกที่จะต้องมาเจอมรรคจนได้ 

ไม่ได้ด้วยการได้ยินได้ฟัง ก็ต้องด้วยการอ่านการเห็น อะไรก็ตามที่มันจะให้เกิดการที่ว่า สะกิดใจขึ้นมา ...เพราะอธิษฐาน เพราะจิตที่มุ่งต่อนิพพาน

เห็นมั้ยว่า การทำนิพพานให้แจ้ง หรือการปรารถนาในการเห็นว่านิพพานเป็นของสูงสุด ท่านเรียกว่าเป็นมงคลอันหนึ่งในมงคลสามสิบแปดนะ 

ทำนิพพานให้แจ้ง ปรารถนานิพพานเป็นที่สุด นั่นน่ะคือมงคลหนึ่ง ...คือตั้งจิตไว้ให้สูง ตั้งไว้ ตั้งเป้า นั่นแหละคือเป้า เรียกว่าอธิษฐานจิตน่ะเป็นเป้า...มีเป้า

ซึ่งมันจะคาดหมายนิพพานยังไง รูปทรงยังไง แตกต่างกันไปยังไง ขอให้ตั้งไว้ก่อน ว่านิพพานเป็นเครื่องหลุดพ้น การไม่เกิดไม่ตายไม่แก่ไม่เจ็บใหม่ วนเวียนซ้ำซาก 

นี่ แค่นี้แหละ มันก็จะเป็นแรงอธิษฐาน มันก็จะมาพร้อมกับการปฏิบัติแบบสุ่มสี่สุ่มห้าน่ะแหละ ไปๆ มาๆ จนถึงลงล็อก เข้าล็อก


โยม –  โยมเกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีใครสนใจภาวนาเลย แต่โยมรู้สึกได้ สงสัยว่าเกิดมาทำไม ตั้งแต่เด็ก รู้สึกว่าเกิดมา ทำงานแล้วก็เรียนจบ แล้วก็ เอ๊ เรียนจบแล้วก็ทำงาน แล้วก็ตาย ไม่ใช่สาระ

พระอาจารย์ –  คือมันมีนิสัย ยังไงก็เคยทำมา สะเปะสะปะกันมา แล้วก็ปรารถนาพ้นทุกข์มา 

ก็กว่าจะเจอมรรคก็ตายเสียก่อนอย่างนี้ ก่อนจะเจอมรรค ก่อนจะเข้าใจในองค์มรรคก็ตายซะก่อนแล้ว อย่างนี้ อายุขัยมันตัด ...แต่ก็ไม่ทิ้งความปรารถนานี้ มันก็ทำไปเรื่อยๆ 

จนถึงวัน ณ เวลา ณ ที่มันสมควร  ทุกอย่างมันก็ค่อยๆ พัดพาเข้าสู่การใกล้ชิดองค์มรรคขึ้นเรื่อยๆ ...มันก็เริ่มมา...อยู่ในฐานของมหาสติปัฏฐานก่อน แล้วก็ค่อยๆ ทำความเรียนรู้ไป 

ด้วยการภาวนา ...เอาตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์ เอาตัวจิตเป็นเครื่องพิสูจน์  แล้วก็คัดกรองๆ ในวิถีแห่งมรรคขึ้น จนแน่วแน่ในระดับนึง ผลแห่งมรรคก็เริ่มจะบังเกิดขึ้น 

ผลในองค์มรรคนี่ ผลในองค์มรรคคืออะไร ...ทุกข์ของเราน้อยลง ทุกข์ของเราไม่นาน ทุกข์ของเราไม่มี ...นี่ พวกนี้คือผล


โยม –  แต่แรกๆ มันจะเห็นแต่ทุกข์

พระอาจารย์ –  อือ นี่แหละ ทุกข์เพราะความอยาก ทุกข์เพราะไม่เข้าใจ ทุกข์เพราะสงสัยลังเล นี่ก็อีกทุกข์นึง แต่พอเข้ามรรคแล้ว ทุกข์เหล่านี้...มันจะทำความแจ้งในทุกข์ทั้งหลาย


โยม –  แต่โยมไม่ค่อยเห็นสุขน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  ก็ดีแล้ว สุขมันไม่ได้สอนอะไรมากเท่าการทำให้มันติด

ดูครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นนะ ลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น ท่านเกิดมาในตระกูลไหนกันมั่งล่ะ ในระดับที่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นตั้งแต่ระดับแรกเลย ...ลูกชาวนานะ

รวยไหมน่ะ มีความสุขหรือความทุกข์เป็นพื้นฐาน หือ ทำงานอาบแดดอาบเหงื่อต่างน้ำกันน่ะ เงินทองไม่มี อัตคัดขัดสน ...ทุกข์ทั้งนั้นแหละ ทั้งๆ ที่ว่าระดับจิต ภูมิธรรมจิตที่ผ่านมาในอดีตไม่ใช่ต่ำๆ เลย 

ทำไมมาเกิดในตระกูลเหล่านี้ล่ะ ...ก็เพราะทุกข์เท่านั้นน่ะที่จะสอน 

ทำไมท่านไม่ไปเกิดอยู่ในตระกูลเจ้าสัวล่ะ บุญระดับอริยะบุคคลที่เป็นระดับโสดา สกิทาคา มาก่อนเก่านี่ บุญขนาดไหนล่ะ บารมีขนาดไหนล่ะ ทำไมไม่ไปเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีล่ะ


โยม –  แต่โยมว่าถ้าพูดเรื่องกรรม ก็จำแนกลำบากน่ะค่ะ เพราะอย่างพระพุทธเจ้าท่านก็เกิดเป็นวรรณะกษัตริย์ แต่ก็เพียงแต่ว่าท่านก็มาเห็นว่ามันเป็นทุกข์

พระอาจารย์ –  เข้าใจมั้ยว่า พุทธภูมิน่ะ ...คือความสมบูรณ์ทุกด้าน คือเกิดมาเพื่อให้เป็นครูคน เพื่อให้เป็นที่ไม่มีตำหนิ ไม่เป็นของที่ด้อย ...คือต้องเป็นเลิศ 

เพราะนั้นชาติกำเนิดท่านต้องเป็นเลิศ...โดยโลกนี่ต้องเป็นเลิศ  ถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นมหาจักรพรรดิก็ต้องเป็น


โยม –  เพื่อให้คนต้องศิโรราบ

พระอาจารย์ –  ใช่  มันแตกต่างกับพุทธสาวกนะ จะไปเทียบกันไม่ได้ ...มันเป็นกรรมจำแนกเลยว่า กรรม วิบาก ผลของพุทธภูมินี่ จะต้องส่งผลอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่งั้นไม่เป็นพระพุทธเจ้า 

เพราะนั้นไม่มีต่ำว่าฐานะวรรณะกษัตริย์ คือถือว่าเป็นวรรณะที่สูงสุดในหมู่ชนแล้ว เป็นเลิศในหมู่มนุษย์แล้ว ...สุดท้ายท่านก็ต้องมาเจอทุกข์เอาเอง หาทุกข์สร้างทุกข์ขึ้นมาเอง เพื่อให้เรียนรู้กับทุกข์ จึงจะแจ้งในทุกข์ 

เพราะนั้นในเหล่าอริยะภูมิทั้งหลาย มีน้อยที่จะมาเกิดในฐานันดรที่สูง หรือสถานะที่ร่ำรวยสุขสบาย ...จะมาในระดับลูกชาวบ้าน ลูกชาวนา อัตคัดขัดสน ...มีแต่ทุกข์เป็นพื้น 

ตรงนี้คือตัว catalyze ตัวเร่งเลยล่ะ ...ตัวทุกข์นี่เป็นตัวเร่งจิตเลยอ่ะ เร่งความเพียรเลยแหละ ให้ไม่กลับมาเกิดอีก ให้ทันในชาติสุดท้าย

เพราะนั้นในระดับพวกเรานี่ ระดับกลางๆ ถึงระดับกลางๆ ก็ไม่ถึงกับสุขมาก ก็ไม่ถึงกับทุกข์มาก ...เพราะนั้นการภาวนาจึงเป็นแบบเช้าชามเย็นชาม (โยมหัวเราะ) ใช่มั้ย 

มันไม่มีอะไรบีบคั้นน่ะ ไม่ทำไม่ภาวนาก็ไม่เป็นทุกข์ ...ภาวนาก็ไม่ได้หวังผลอะไรมากมายก่ายกองแบบเอาหลุดพ้นทีเดียว ...เพราะไม่มีอะไรเป็นตัวเร่ง

เพราะนั้นน่ะ นี่คือความเนิ่นช้าแบบหนึ่ง ...ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้เกิดความกระตือรือร้นอย่างเดียวก็คือศรัทธา...มากๆ สร้างศรัทธาในธรรมมากๆ

ถ้าไม่งั้นก็ต้องไปเป็นแบบ...อาจารย์กำพล ใช่มั้ย เร็วนะนั่นน่ะ ...ทำไมถึงเร็วล่ะ ทุกข์เท่านั้นน่ะบีบคั้น ถ้าไม่ทุกข์ขนาดนั้นนะ ไม่มีอาจารย์กำพลในวันนี้ บอกให้ 

แต่พออยู่ในภาวะจำยอมอย่างนั้น เห็นมั้ย ความบังเกิดความหลุดพ้น ซึ่งไม่น่าจะบังเกิดได้เลย กับชีวิตครูทั่วไปก็เกิด ...นี่ทุกข์ที่สอน และเป็นทุกข์ภาคบังคับอีกต่างหาก


โยม –  ก็รู้สึกว่าบางทีก็โดนบีบบังคับให้เข้ามาเส้นทางนี้ จริงๆ ก็ชอบปฏิบัติ อยากปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่ามันก็ยังปล่อยเอ้อระเหย แต่ว่าด้วยสถานการณ์ข้างนอกมันก็บีบให้

พระอาจารย์ –  เพราะฉะนั้นให้เชื่อเราไว้เลย เราจะบอกไว้เลยว่า...ถ้าได้เข้าองค์มรรคจริงๆ แนบชิดติดกับมรรค อยู่ในมรรคจริงๆ ...ทุกข์จะมาแบบไม่ขาดสายเลย

ทั้งเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องก็จะเป็นเรื่องขึ้นมา ทั้งคนที่ว่าดี ที่ว่าไม่เคยเจอคนไม่ดีก็จะเจอ เหตุการณ์ที่รับไม่ได้ก็จะมี ...กรรมวิบากอกุศลทั้งหลายมันจะทยอยขึ้นมาแบบ...กลัวลูกหนี้หนีจ่ายน่ะ เข้าใจมั้ย

เพราะกรรมที่เราทำมานี่มากมายไม่รู้เท่าไหร่ ...แต่ถ้าได้เข้ามรรคแล้วหมายความว่า มันมีวาระสุดท้ายในการเกิด หนี้สินทั้งหลายนี่ต้องคืนต้องใช้หมดทันทีเลย ...เพราะนั้นกรรมทั้งหลายจะประดังประเดหมดเลย


โยม –  มันเหมือนทำให้ทิ้งมรรคไม่ได้ด้วย เพราะทิ้งปุ๊บมันก็เป็นทุกข์มาก

พระอาจารย์ –  แต่เชื่อมั้ยว่า พอสมมุติว่าไม่ได้เข้ามรรคแบบเต็มตัว หรือพอไม่เข้าสู่การปฏิบัติ ทิ้งการปฏิบัติปุ๊บ ...ทุกข์นี่หาย  ดูเหมือนไม่มีทุกข์กำเริบขึ้นมาเลย 

เพราะอะไร เพราะว่ากรรมและวิบากมันก็คลาย ดูเหมือนคลาย ...แต่ไม่หมดนะ เพราะนั้นเมื่อใดพอเล่นเข้ามรรคใหม่ปุ๊บ...มาแล้ว 

เนี่ย เราจะต้านทานอำนาจกรรม ยอมรับสภาพกรรมได้มั้ย ...มันก็เหมือนกับกระดาษทรายน่ะ ขัดอย่างหยาบ อย่างละเอียด ขัดจนแวววาวน่ะแหละ


(ต่อแทร็ก 14/4 ช่วง 2)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น