พระอาจารย์
14/32 (570512F)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
12 พฤษภาคม 2557
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 14/32 ช่วง 1
เพราะนั้นน่ะ
ถ้ามันไม่ได้ปูรากฐานของสติหรือศีลปุ๊บนี่ เวลามันเจออารมณ์เบื้องหน้าเบื้องต้นนี่
ไม่มีทางเอาอยู่เลย ไม่มีทางที่จะอยู่กับความรู้ตัวได้เลย บอกให้เลย
เพราะมันไม่มีฐานของสติ
ฐานของกายปัจจุบันเลยน่ะ ไม่เอาเลย มันทิ้งไปแบบ...มึงไปไกลๆ มึงอย่ามาว่าหยุดว่าอยู่อะไรเลย...กูจะด่ามันอย่างเดียว
ตัวนี้จะมาแบบ..มาแรง มาเร็ว แล้วก็เป็นเหตุเฉพาะหน้าสำคัญอย่างยิ่งเลย...ศีลสมาธิ เนี่ย ไว้ทีหลังๆ ...หรืออย่าว่าแต่เอาไว้ทีหลังเลย ให้หาตอนนั้น
มันยังไม่ปรากฏเลย ปรากฏได้ยากมาก
เราถึงบอกว่ามันต้องปูพื้นเป็นอาจิณเลย
สตินี่ รู้ตัวในกายนี่ เพื่อให้จิตมันหยุดอยู่เสมอๆ บ่อยๆ แม้เป็นขณะ เป็นขณิกะก็ตาม ...อย่าให้มันหาย อย่าให้มันหายนาน อย่าให้มันลืมนาน
อย่าให้มันไกลออกไปจากความรู้ตัว
แล้วมันจะค่อยๆ เป็นไป...เมื่อเจอเหตุการณ์ปุ๊บ นี่ มันจะมาทันทีทันควันเลย...การรู้เนื้อรู้ตัว
ท่ามกลางอารมณ์ ท่ามกลางเสียง ท่ามกลางรูป
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านที่เป็นภาวะบีบคั้นภายนอก
…มันก็สามารถเรียกสติศีลสมาธิ ได้ตั้งรับตั้งสู้กันขึ้นมา
ได้เห็นประเมินกำลังซึ่งกันและกันขึ้นมา
ซึ่งส่วนมากก็ต้องยอมรับว่า
จะต้องแพ้มากกว่าชนะ …เพราะว่าลักษณะที่คุมอยู่
หรือว่ารู้อยู่กับตัวนี่ โดยที่ไม่หลงเพลินไปกับมัน คิดตามไปกับมันนี่...จะน้อยกว่าอยู่แล้ว
แต่ก็กัดฟันไปจนกว่ามันจะจบ
ต้องเรียกว่าอยู่ได้ผ่านได้แบบกัดฟัน แล้วก็ค่อย เออ โล่งอก ผ่านไป …แต่ในลักษณะนี้ มันจะผ่านไปลักษณะกัดฟันก็ตาม
แต่ผลคือความสืบเนื่อง จะน้อยลง
ความสืบเนื่องจากการกระทำคำพูดของเรานี่
จะไม่ค่อยไปใส่ฟืนเติมไฟให้เกิดเป็นเหตุปัจจัยสืบเนื่องต่อไปในอนาคต ...เนี่ย
มันจะได้เกิดผลของสมาธิปัญญา ศีลสติสมาธิ ในระดับนี้ก่อน
มันก็ทำการเพิกถอนภายนอกออกไป
คลี่คลายออกไปในระดับที่ว่า...เรารับมาเต็มๆ เหมือนไปแบกทุกข์มาแทนเขา
หรือไปรับทุกข์ที่เขาใส่ความให้เรา มันก็เหมือนกับไปรับภาระเข้ามา หนัก
เอาไฟมา เหมือนอย่างนั้น
แล้วตัวของมันเอง มันก็มาเก็บ
แล้วมันก็มาทำความแจ้งในเหตุภายในต่อไป ...อดทนไปเหอะ มันก็ค่อยๆ แยกแยะไป
อะไรเป็นอะไร แล้วมันก็เกิดความจางคลายภายนอก นี่ก็ได้อานิสงส์ของศีลสมาธิ
ทำไมมันถึงยึดนักยึดหนา ทำไมถึงเป็นทุกข์เป็นนักเป็นหนา
กับรูปกับเสียง กับความเป็นเราเป็นเขา อะไรอย่างนี้ ก็อยู่ไปเหอะ ทั้งวันทั้งคืน
อยู่ไป ดูมันไป ประกอบเหตุนั้นไป อยู่กับเหตุนั้นไป
มันอยากโง่นัก ก็อยู่กับมันไปแล้วกัน
เดี๋ยวก็รู้เอง ...อดทนนะ อดทนด้วยสมาธิ ปัญญามันก็อยู่ในนั้นเอง
ปัญญามันจำแนกแยกแยะอะไรเป็นอะไรไป อะไรเป็นอะไร
มันเป็นเราตรงไหน มันเป็นเขายังไง
แล้วมันมาถือเราตรงไหน แล้วเรามันเจ็บมันปวดตรงไหน อะไรมันเป็นเรา
แล้วโดยรวมมันเป็นเราหรือไม่เป็นเรายังไง แล้วเราคืออะไร
ก็ลงมาที่กายอย่างนี้
พิจารณาแล้วพิจารณาอีก ...ถ้ามันคิด ยังคิด ตามมาหลอกหลอนอีก เดี๋ยวก็พิจารณาไป
มันก็กลับมาลงที่กายเราอยู่ดี ตัวเราอยู่ดี ...มันก็กลับมาแก้อยู่ที่เดียวนั่นเอง
เอ้า พูดนานแล้ว พอแล้ว เหนื่อย
พูดนานก็เหนื่อย พักซะ ...เอ้า มีอะไรอีกรึเปล่า สงสัยอะไรอีกมั้ย
โยม – ก็สงสัยน่ะเจ้าค่ะ ช่วงนี้มันเห็น..เข้าไปเห็นถึงตัวสัญญาที่..คือมันทุกข์มาก่อนเพราะมันจับสัญญามา หลังๆ นี่มันก็คือ
มันเห็นว่าสัญญานี่ มันก็แค่ตัวที่ผ่านมา แค่ไปจับมันเป็นเรื่องเป็นราว
มันก็กระโดดเข้าใส่
เพราะนั้นตัวสัญญาก็เป็นแค่เรื่องหนึ่ง
แม้กระทั่งสัญญาในคำสอนต่างๆ ที่ได้ยินมา นั่นก็คือเป็นทาง
คือเป็นแค่ให้ได้ระลึกรู้น่ะเจ้าค่ะหลวงพ่อ มันก็แค่นั้น มันก็สอนกลับมาว่า
มันก็แค่นั้นน่ะ คว้าก็ไม่ได้ ก็แค่ระลึกรู้ ก็แค่นั้นเจ้าค่ะ
พระอาจารย์ – สัญญาคือสัญญา เห็นว่าสัญญาคือสัญญา ไม่มีตัวไม่มีตนในสัญญา
ไม่มีเราไม่มีเขาในสัญญา ...สัญญาก็คือสัญญา ไม่มีอะไร
โยม – หลังๆ มันจะกลับมาตั้งมั่น หมายถึง
ตั้งมั่นนี่คือระลึกรู้อยู่ภายในที่มั่น ถ้ามันหลุดตรงนี้ปุ๊บ จากจุดนั้น
มันส่งเลย..ทุกข์
พระอาจารย์ – ไม่ว่าจะออกนอก ไม่ว่าจะออกใน...ออกนอกคือออกข้างหน้า
ออกในคือออกในอดีต ข้างใน สัญญา พวกนี้ ...ตั้งมั่นอย่างเดียว กายเดียวใจเดียว
ถือว่าเป็นฐาน อยู่ในมรรค
จึงเรียกว่าอยู่ในมรรคนี่เป็นทางรอดปลอดภัยจากกิเลสในระดับหนึ่ง
แล้วมันก็เป็นแหล่งก่อกำเนิดปัญญาอยู่ในมรรค ปัญญาที่แท้จริงจะอยู่ท่ามกลางมรรค
อยู่บนมรรค
มันก็จะค่อยๆ
เกิดความรู้ความเข้าใจขึ้น ก็อยู่บนมรรคนั่นแหละ อยู่ท่ามกลางกายใจนั่นแหละ
ท่ามกลางจิตตั้งมั่น ท่ามกลางจิตที่มันรู้อยู่กับกาย รู้อยู่กับกายเป็นปัจจุบัน
นั่นน่ะ
เรียกว่าความรู้ความเห็นในองค์มรรค มันจะเกิดขึ้นท่ามกลางความรู้ตัว ..มันไม่ไปเกิดที่อื่น
โยม – ลักษณะที่ดำเนินอยู่ตรงนี้ มีความตั้งมั่นนี่
ถ้าเทียบกับที่หลวงพ่อสอนไปเมื่อกี้ คือการอยู่ในจิตเป็นสมาธิอย่างนั้นใช่รึเปล่าคะ
พระอาจารย์ – อือ
มันเป็นสมาธิธรรมชาติที่มันอยู่ในอิริยาบถทุกอิริยาบถ ...คำว่าสัมมาสมาธินี่
มันไม่ใช่สมถะ มันไม่ใช่สงบ
แต่มันเป็นความตั้งมั่นที่มีอยู่กับความรู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา
มันจะตั้งมั่นอยู่กับตัวตลอดเวลา
นี่เขาเรียกว่าเป็นสัมมาสมาธิที่แท้จริง...ที่มันมีอยู่กับชีวิต
อยู่กับกายในชีวิตประจำวันเลย โดยไม่มีจำกัดกาลเวลาสถานที่
นี่ถึงว่าเป็นสมาธิที่เป็นสมาธิโดยธรรมชาติ
สัมมาสมาธินี่ ...แล้วมันจะมาเรียนรู้กับขันธ์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
แล้วมันก็จะมาเรียนรู้กับกิเลสที่มันปรากฏอยู่ตามธรรมชาติ โดยปกติธรรมดานั่นเอง
มันจึงมาแก้มากัน หรือจึงมาทำความละทำความเลิก
หรือจึงมาเกิดการทำความรู้ทำความเข้าใจกับทั้งขันธ์ที่เป็นธรรมชาติ
ทั้งกิเลสที่เป็นธรรมชาติได้
อย่างตรงไปตรงมา อย่างจริงแจ้งชัดเจน
ไม่หลอกไม่ลวง เป็นกิเลสหน้ากิเลสหลัง กิเลสในอดีต กิเลสในอนาคต
กิเลสตามที่คิดขึ้นมาเอง น้อมนำขึ้นมาให้เอง นั่น ไม่ใช่
ถึงว่าการปฏิบัติธรรมมันเป็นเรื่องของการเรียนรู้อยู่ภายในปัจจุบันล้วนๆ ...เพราะนั้นจะต้องทรงความรู้ตัวนี้ให้ได้ ด้วยความตั้งมั่นขึ้นไปเรื่อยๆ
หมายความว่าแข็งแรงขึ้นในการอยู่กับเนื้อกับตัว
ไม่หลงใหลไปอย่างง่ายดายกับสิ่งต่างๆ แค่นั้นเอง …เพราะนั้นสิ่งต่างๆ มีอยู่สองสิ่ง...ภายนอกกับภายใน
ภายนอกคือตาหูจมูกลิ้นกาย ...ภายในคือจิต
คือความคิด คืออารมณ์ คือความจำ คือกิเลส ความอยาก-ความไม่อยาก พวกนี้คือภายใน ...มันจะต้องไม่หวั่นไหวต่อทั้งภายในและภายนอก นั่นแหละสัมมาสมาธิ
แล้วเมื่อมันตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
ผลของที่จิตมันตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปทั้งกับภายในและภายนอก ...มันจะเห็นอาการทั้งในและนอกนี่
ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไตรลักษณ์
ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
เห็นมั้ยว่าปัญญามันจะเกิดท่ามกลางองค์มรรค
แล้วมันจะเห็นทั้งสองสิ่งนี่ ทั้งในและนอกนี่ ...ก็แค่นั้น ก็เท่านั้นแหละวะ
ไม่มีอะไร นั่น ถ้ามันรู้สึกว่าแบบชาวบ้านๆ ...ก็แค่นั้น ไม่เห็นมีอะไรเลย
ถ้าภาษาธรรมก็นั่นน่ะมันเห็นไตรลักษณ์
แล้วมันก็ปล่อย ...พอมันปล่อยปุ๊บ ไม่มีอะไร มันก็ไม่มาจดจำเป็นสัญญาในอดีต หรือเป็นเรื่องราวที่จะต้องมานั่งครุ่นคิด กังวล หวนหา ถวิลหา...ไม่มี มันก็ละได้
มันเห็นไตรลักษณ์ในปัจจุบัน
มันก็ไม่เกิดความสืบเนื่องต่อเป็นอดีตอนาคต ..ปัจจุบันดับ อดีตดับ อนาคตดับ สัญญาก็ดับ
สังขารก็ดับไปพร้อมกัน นี่ ดับลงในปัจจุบัน มันก็ดับทั้งอดีตอนาคต
ทั้งสัญญาทั้งสังขาร
เนี่ย ด้วยความที่ว่า...“เออ ก็แค่นั้น
ไม่เห็นมีอะไร” ...นี่ ถ้าจิตตั้งมั่น มันก็เห็นอย่างนั้น และในขณะที่มันตั้งมั่นนี่
มันตั้งมั่นอยู่กับกาย ตั้งมั่นอยู่กับศีล
ในลักษณะที่มันไม่มีทั้งในและนอกมาก่อกวนเลย
ระหว่างนั้นน่ะ
มันเรียนรู้ดูเห็นกับกองกาย เป็นรูทีน
ทำความรู้ทำความเข้าใจกับกายนี้เป็นปัจจุบันธรรม เป็นปัจจุบันปัญญาอยู่ตลอด...ว่าไม่ใช่เรา ไม่เป็นตัวเรายังไง
มันก็ดูเห็นเป็นธาตุ เป็นก้อนเคลื่อนไหวไปมาของมัน
นี่
มันทำความเรียนรู้อยู่ตลอดเวลากับกาย เพื่อถอดถอนความหมายมั่น...ในความเป็นเรากับกาย
ในความเป็นความสวยความงามของกาย ในความเป็นชายเป็นหญิงของกาย
ถ้ามันเห็นกายในกายไปเรื่อยๆ นี่ ...ไอ้กายในกายนี่
มันจะเป็นกายที่ปราศจากรูป ไอ้กายในกายที่มันเป็นกายที่ปราศจากรูปนี่
มันจึงจะเป็นกายที่ปราศจากอารมณ์ที่เนื่องด้วยรูปคือกามราคะ และปฏิฆะ
มันก็เห็นไปในตัวของมัน ไม่เป็นชิ้นเป็นอันอะไร
ไม่มีแก่นสารสาระอันใด ไม่มีสวย ไม่มีงาม ไม่มีไม่สวยไม่งามแต่ประการใด ...มันจะเห็นอยู่อย่างนี้
มันก็ค่อยๆ
เพิกถอนอารมณ์ที่เนื่องด้วยรูป..ที่รูปมันเนื่องด้วยกาย ...มันก็ชำระไปตลอดเวลาแห่งการที่ว่าทรงความรู้ตัวไว้ พออยู่ในมรรคนี่มันได้ตลอดสาย เข้าใจมั้ย
ได้ความรู้ความเห็นอยู่ตลอดสาย
แม้กระทั่งไม่มีอะไรมากระทบมัน
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากภายในก็ตาม มันก็ทำความเรียนรู้กับกองกายไปเป็นอาจิณ
เป็นพื้นฐานอยู่ตลอดเวลา …เพราะเรื่องของกายนี่
เรียนรู้ไปจนถึงพระอนาคามีน่ะ
โยม – อย่างนี้บวชนี่ง่ายกว่าหรือเปล่าครับ
พระอาจารย์ – มันไม่จำเป็น มันอยู่ที่เหตุปัจจัยในการดำเนินไปในมรรค ...มันไม่ขึ้นกับการบวช-ไม่บวช มันขึ้นกับว่า เข้าใจ-ไม่เข้าใจ
แล้วเอามาปฏิบัติได้หรือไม่ได้ แค่นั้นเอง
โยม – ในโลกมันยึดถือมากกว่ารึเปล่าครับ
พระอาจารย์ – มันเป็นคำกล่าวอ้างของจิต ...ถ้าพวกเรายังฝึกในลักษณะที่อยู่ในชีวิตประจำวันไม่ได้
แล้วยังไม่ชัดเจนชัดแจ้งนี่ มาบวชก็เหมือนเดิมน่ะ ...มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไร
ก็อาจดูเป็นโลกที่มีเรื่องราวใหม่ๆ
ความน่าติดข้องใหม่ๆ เหมือนกันน่ะ แล้วก็ติดเหมือนเดิม มันไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันไว้หรอก
ว่ามัน..โอ้โห สงเคราะห์เต็มที่เลย ส่งรวดๆๆ หนุนๆ จนหลุดพ้นเลย ...นั่น ฝันหวาน
เพราะนั้นต้องสร้างรากฐานของการอยู่ในมรรคให้แข็งแกร่งไป
คือทำความรู้ตัวให้มาก ให้นาน ให้ต่อเนื่อง ให้ไม่ว่างเว้น
ให้ไม่เกิดความดูดายกับการรู้ตัว ให้ขมีขมันขวนขวายไว้เป็นนิสัย
อย่าไปนั่งสบายๆ ลอยๆ ...เวลาที่มันไม่มีเรื่องมีราวอะไรแล้วสบาย ปล่อยอกปล่อยใจอย่างนี้
อย่าไปอยู่อย่างนั้น อย่าไปหาที่ว่าพักผ่อนอย่างนั้น อย่าไปพักกันแบบนั้น
มันพักด้วยการปล่อยให้จิตมันเลื่อนลอยไหลหลงเนี่ย แล้วก็ไปเรียกใส่ชื่อว่าพัก...มันไม่ได้พักนะนั่นน่ะ …มันจะต้องมาพักในสมาธิ
มันต้องมาพักจิตอยู่กับความรู้ตัว
นี่เรียกว่าพัก จิตไม่ทำงาน
พักจิตอยู่ที่ใจ พักจิตอยู่ที่กาย เรียกว่าพัก..พักผ่อนในสมาธิ ...ไม่ใช่พักโดยอยู่ในโมหะ นั่นน่ะมันทำงานนะ เขาเรียกว่าโมหะนี่ทำงานแบบอันเดอร์กราวด์
คือมันไม่ได้ทำงานแบบเป็นตัวเป็นตนให้ชัดเจนหรอก มันทำงานแบบพวกจราชนนะ..พวกใต้ดิน แล้วเดี๋ยวๆ มันก็ผุดขึ้นมา บอกให้ ไม่ได้พักจริงหรอกจิต
มันจะพักอยู่จริงๆ คือ มันพักในสมาธิ
กับพักกับกายปัจจุบัน ...ซึ่งมันจะบอกว่า ตรงนั้นยังไม่ได้พัก เพราะมันจะต้องทรงไว้
รักษา ดูเหมือนต้องคอยประคับประคองไว้อยู่ ไม่งั้นมันจะล้มหาย ลืม
แต่จริงๆ น่ะมันเป็นการพักนะ แล้วมันจะเกิดกำลังขึ้นมาใหม่ ...ถ้ามันพักจิตบ่อยๆ จิตมันก็จะไม่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ถ้ามันคิดทั้งวี่ทั้งวันนี่
จิตมันอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
ให้มันพักซะหน่อย
แต่ว่าพักอยู่ในสมาธิ ไม่ใช่พักอยู่กับความเลื่อนลอย
หรือว่าพักอยู่กับความเผลอเพลินไปกับรูปที่ชอบ เสียงที่เพราะอย่างนี้...ไม่ใช่ นั่นมันไม่ได้พัก
อือ เอาแล้ว พอแล้ว พอสมควร
..................................