พระอาจารย์
14/36 (570519B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
19 พฤษภาคม 2557
พระอาจารย์ – นี่ การภาวนาในเรื่องกาย เรื่องศีล เรื่องปัจจุบัน
เรื่องรู้ เรื่องรู้ตัว อยู่กับตัว...นี่ ถือว่าเป็นบรรทัดฐานแรก บทนำ บทที่หนึ่ง ...อ่านให้จบ รู้ให้รอบ และก็รู้ให้ตลอด
เดี๋ยวมันก็จะจบบทที่หนึ่ง
เนื้อเรื่องนี้ หนังสือเล่มนี้ ขันธ์กองนี้
มีอยู่ห้าบท ...เมื่ออ่านตลอดบทที่หนึ่ง เดี๋ยวก็ได้อ่านต่อไปบทที่สอง สาม สี่ ห้า...The end...จบ ไม่มีภาคต่อ ไม่มี Episode…one two three four ...จบคือจบ ห้าบทจบ
ปิดตำรา
ไม่ต้องเรียนแล้ว ไม่ต้องเกิดมาเรียนแล้ว มันครอบคลุมแล้ว...ห้าบท ครอบคลุมสรรพสิ่ง
ครอบคลุมอนันตาจักรวาล ทั่วพิภพจบแดน...หมด เข้าใจหมดโดยตลอด
แต่ว่าบทที่หนึ่งนี่ บทบาทของกายนี่
เป็นบทบาทที่ยากที่สุด ...อ่านน่ะง่าย แต่อ่านโดยตลอดนี่ยาก ...ทำความรู้ความเห็นกับมันตรงไหนก็ได้..นี่ง่าย แต่อ่านโดยตลอดต่อเนื่อง..นี่ยาก
ต้องอาศัยความเพียร ...เพราะมันจะมีเรื่องเล็ก เรื่องน้อย เรื่องใหญ่ เรื่องกลาง...ที่ยังคั่งค้างอยู่
ที่ยังไม่ลุล่วงตามประสาของเรา ...มันคอยเร้า คอยดึง คอยเบี่ยงเบนความสนใจออกไป
ว่าไอ้นั่นไอ้นี่ เรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่สำคัญมาก สำคัญน้อย สำคัญที่สุดกว่า ...นั่น กายมันก็จะอยู่ในอันดับโหล่ๆๆ
หาไม่เจอเลย ระหว่างยืน เดิน นั่ง นอน พูด คิด ทำงาน สังคมกับคนอื่น ดูหนังฟังเพลง จะหากายไม่เจอเลย ...นี่มันอยู่อันดับไหนแล้วนี่ ไล่ไม่รู้เลย
คือตอนบวชอยู่วัดกันนี่อาจจะได้อันดับสอง
แล้วก็สามวัน..สองจุดหนึ่ง เจ็ดวันหล่นมาอยู่สาม พอใกล้ๆ จะสึกนี่ ประมาณรองโหล่ ...สึกแล้วจบ unlimited ไม่รู้อยู่ไหน
ถึงบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีไง
ตอนบวชนี่ เพราะมันไม่มีอะไรให้ทำ ...แต่ไอ้เรื่องคั่งค้างนี่ยังมี สู้กันเองแล้วกัน
ตัวใครตัวมัน ทำเรื่องไว้เยอะป่าว ติดค้างกับใครไว้เยอะป่าว
หรือมีลูกหนี้เจ้าหนี้ไว้เยอะรึเปล่า เดี๋ยวมันก็มา เป็นสัญญา ...ก็ปัดทิ้ง
ตัดทิ้ง คอยปัดทิ้ง ไม่เอ๊า...ท่องไว้ ไม่เอา รู้แค่นี้พอแล้ว มันจะคิดโน้นคิดนี้...ไม่เอาๆ
ให้แรงๆ หน่อย
ไอ้ "ไม่เอา" นี่...ไม่ใช่ “เอาอีก” ...จิตมันจะเอาอีก
คิดต่อๆๆ คิดให้จบ ต้องคิดให้จบให้ได้ ...บ้ารึเปล่า ความคิดที่ไหนมีคำว่าจบ ...ไม่มีคำว่าจบนะความคิดนี่
หมดเรื่องนี้ก็กระโดดไปเรื่องนั้น
หมดกับคนนั้นก็กระโดดไปคนนี้ ไม่มีคนนั้นคนนี้ก็คือกูเองข้างหน้าข้างหลัง ...มันจะจบตรงไหนความคิด ไม่มีคำว่าจบ คิดให้จบไม่มี
มันเป็นภาษาหลอกของจิต
แล้วก็วนเวียนซ้ำซากนี่
เดี๋ยวก็วนกลับ วกกลับมาเรื่องเก่าอีก คนเก่าอีก...แต่เปลี่ยนวัน ณ เวลา ณ สถานที่
การกระทำ คำพูด ...นั่น ไม่มีคำว่าจบเลย
กายนี่จบ...อยู่ตรงนี้จบ ...มึงไม่จบ
กูจะจบน่ะ มีอะไรรึเปล่า ...นี่ ต้องเล่นไม้แข็ง ทำไปเหอะ ไม่คิดก็ไม่ตาย
ไม่มีความคิดไม่มีอารมณ์ก็ไม่ตาย ...อย่าไปกลัวมัน ทิ้งมัน วางไว้ก่อน
เอาตรงนี้ก่อนๆ ถือเป็นภารกิจหลัก
ถือเป็นงานหลัก เอากายเป็นงานหลักไว้ก่อน เอาขึ้นหน้า ...ตอนนี้ที่มันอยู่โหล่ๆๆ
ก็ไล่ ไล่มา ...นี่ก็เริ่มไล่มาบ้าง แต่ยังไม่อยู่แถวหน้า
ไอ้พวกนั่งหลังชั้นน่ะ จะได้นั่งหลับ
เข้าใจรึเปล่า กูไม่อยากนั่งข้างหน้าครูน่ะ แถวหน้า เดี๋ยวมันหาว่ากูเป็นเด็กเรียน
มันก็แถๆๆ ไปหาข้างหลัง นั่นแหละ
เพราะนั้น ตอนนี้ก็พยายามขยับกายมาอยู่แถวหน้า...เป็นเรื่องแรก เป็นเรื่องสำคัญเอาไว้ก่อน ...ได้-ไม่ได้ ถึง-ไม่ถึง
ผลจะเกิดยังไงไม่รู้ เอาไว้ก่อน
ถ้าพระพุทธเจ้าบอกว่าดี
คงไม่มีชั่วหรอก ถ้าพระพุทธเจ้าบอกว่าจริง ก็คงไม่มีคำว่าหลอกหรอก ถ้าพระพุทธเจ้าบอกว่าใช่ ก็หมายความว่าต้องใช่แน่ๆ
ให้เชื่อไว้ก่อน เพราะว่านี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ภาษาที่ออกมาจากพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเอกบุรุษ เป็นเลิศในมนุษย์และสัตว์ ไม่มีสอง...หนึ่งไม่มีสอง
เป็นบุคคลที่ว่าเอกบุรุษ ใครจะมาเทียบพระพุทธเจ้าได้ ...ถ้าคำไหนออกมาจากปากพระพุทธเจ้า หมายความว่าไม่มีคำว่าโกหกโป้ปดมดเท็จเลย
เพราะนั้น ถ้าท่านบอกว่าศีลคือศีล
ศีลดีอย่างไร ศีลเป็นเหตุให้เกิดสมาธิปัญญา เป็นไปสู่ความหลุดพ้นจากการเกิดการตาย ...มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วมันต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย ไม่เป็นอื่น
นี่ เชื่อไว้ก่อน สร้างความเชื่อ
แกล้งเชื่อก็ได้ ยังเชื่อไม่จริง แกล้งเชื่อไว้ก่อน ไม่ผิด ...ก็ขยับกายมาอยู่แถวหน้า
แล้วก็เป็นเรื่องสำคัญเบื้องหน้า เบื้องต้น
เรื่องอื่นไว้รอง หรืออันไหนไม่สำคัญน่ะ
ทิ้งได้ทิ้งไป วางได้วางไป เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งที่มันเคยคิดซ้ำซากวนเวียนอะไร
ปัดไป ทิ้งเลย
แต่ไอ้ที่มันยังทิ้งไม่ได้คือเรื่องใหญ่ๆ
ที่มันยังให้ความสำคัญอยู่ แล้วมันไปกระทำ สร้างความเป็นโจทก์-จำเลยไว้ในอดีต เหล่านี้ มันก็จะมารบกวน
ซึ่งจะทิ้งไป...ก็ในลักษณะขว้างงูไม่พ้นคอ
เดี๋ยวมันก็จะมาแว้งกัดอีก เกิดขึ้นมาอีก ...อันนี้ต้องทน
เรื่องกายเป็นแถวหน้าไว้ก่อนๆๆ อย่างอื่นทีหลัง
อย่างน้อยก็บอกมัน
ถ้ามันอยากคิดมากก็บอกมัน เดือนหน้าค่อยคิดโว้ย ค่อยไปคิดกันอีกทีหลัง
เดือนนี้กูจะไม่คิด บวชๆ คือกายเป็นที่รวม เป็นที่แหล่งความรู้ แหล่งธรรมะ
แหล่งสารธรรม
คือมันเป็นที่รวมแห่งสารธรรมทั้งหลาย
เหมือนกับห้องสมุดใหญ่ ...แค่นั่งรู้ว่านั่งเฉยๆ นี่ คือความรู้อันยิ่ง
ความรู้อันยิ่งใหญ่เลยนะ
แต่ไอ้จิตของเราหรือจิตกิเลสมันจะว่า
ความรู้ปะติ๋วหนึ่ง ความรู้แค่เนี้ย ไม่เห็นประโยชน์ของความรู้นี้เลย
สู้เอาเวลานี่ไปคิดค้นทฤษฎีต่างๆ นานาดีกว่า
ความน่าจะเป็น ความน่าจะได้ความสุข
กินอย่างไร ไปอย่างไรถึงจะมีความสุขความสบาย ความลุล่วงปลอดโปร่ง นี่
มันยังดูเหมือนจะได้ประโยชน์มากกว่า
ไอ้แค่รู้ว่านั่ง...แล้วดูเหมือนมันจะมาเทียบกันกับที่มันได้ในความคิด มันดูเหมือนเทียบกันไม่ได้ ...นี่ก็จะต้องทวนมัน ต้องลบล้างความเชื่อเดิมๆ เบื้องต้นนี่ก่อน
แล้วก็เอาความเชื่อความเห็นที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้
หรือครูบาอาจารย์ท่านวางไว้...ฝืนทำไปก่อน ฝืนทวนไปก่อน ทนทวนไปก่อน
มาอยู่กับกายที่มัน...ลึกๆ จิตมันก็บอก...ไม่รู้จะรู้ไปทำไม ไม่รู้ว่ารู้แล้วมันจะเกิดประโยชน์อันใด มองไม่เห็นเลย ...ทุกคนจะเริ่มต้นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้
แต่ภาวนาแบบกระต่ายขาเดียว หน้าด้านๆ ไม่ได้ก็ไม่ได้โว้ย
แต่ก็ไม่ทิ้ง ไม่เลิก ...ยืนกราน ต้องอยู่ในลักษณะยืนกราน คืออ่านแล้วอ่านอีกหน้าเดียวนี่
ถ้าอ่านหน้าแรกนี่ ยังอ่านไม่ตลอด
ยังอ่านไม่เข้าใจ อย่าพลิกหน้าอื่น อยู่อย่างนี้ นั่งรู้ยืนรู้เดินรู้ขยับรู้
ไหวรู้ เอี้ยวตัวรู้ หนักเบารู้ ตึงแน่นรู้ จนไม่ที่ว่างให้คิดน่ะ
รู้อยู่กับกายนี่จนไม่มีที่ว่างให้จิตมันคิดน่ะ
นั่นน่ะต้องขยันรู้ขนาดนั้น
แล้วมันจะเห็นอะไรลางๆ ขึ้นมา ...จิตมันจะเกิดความแช่มชื่น โดยที่ไม่ต้องไปนั่งหลับหูหลับตาเลย
มันเหมือนรีเฟรช สดชื่นขึ้นมา
วนเวียนอยู่ในนี้
วนเวียนอยู่กับตรงนี้ ตรงนั้น ตรงโน้น ความรู้สึกในทั่วตัวกายนี่ ...แล้วทำเป็นแกล้ง ทำเป็นลืมเรื่องความคิด เรื่องอดีต-อนาคต...ลืมไปก่อน แกล้งลืมไปก็ได้
แล้วก็มาทำความรู้ตัว ห้านาที สิบนาที
ด้วยความต่อเนื่อง มันจะเกิดพลังความสดชื่นขึ้นมาภายใน ...ไอ้ตัวนั้นน่ะเรียกว่าจิตสมาธิเริ่มก่อเกิดขึ้นมา ตั้งมั่นมีกำลัง...นี่คือบาทฐานของปัญญา
ก็ทำบ่อยๆ ดีกว่าไปคิดเรื่องราว เหตุการณ์บ้านเมือง
หรือการบุคคลที่รัก บุคคลที่ชัง ...เอาไว้ก่อน เอาไว้คิดตอนหลังสึกออกไป
หรือดีไม่ดีอาจจะไม่คิดเลยตลอดชีวิต...นี่ยิ่งดี
เป็นผู้ไร้บ้าน
เป็นผู้สิ้นเนื้อประดาตัว เป็นที่ผู้เรียกว่าไม่มีหัวนอนปลายตีน
ไม่มีหลักแหล่งผูกพันมั่นหมายกับที่ใดที่หนึ่ง ไปไหนก็ได้ อยู่ไหนก็ได้
มีที่อยู่ก็ได้ ไม่มีที่อยู่ก็ได้
เนี่ย เป็นพวกจรจัด homeless ...อนาคามีนะนี่ อนาคามี...อนาคามีเป็นผู้ไร้บ้าน
สิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีสมบัติเลย ...มันจึงไม่มีความผูกพันในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เป็นที่ห่วงรั้ง เป็นที่ห่วงหาอาวรณ์
เรียกว่าเหมือนสมบัติไม่มี ยากจนข้นแค้น
แต่อิ่มเต็มไปด้วยธรรมความเป็นจริงในปัจจุบัน ...ดีเลย ดีไม่ดีอาจจะดีไปเลยก็ได้ แม่อย่าร้องไห้แล้วกัน
ไม่แน่ เห็นมั้ย มันตั้งใจได้นี่
อย่าไปคิดว่าทำไม่ได้ อย่าไปคิดว่า เออ แค่ลองๆ ...ต้องจริงๆ ไม่มีคำว่าลอง
ภาวนาไม่มีคำว่าลอง...ต้องจริง ...แล้วก็ไม่ได้พูดให้แค่คนบวช
คนไม่บวชด้วย ต้องทำ...โดยไม่ว่างเว้น โดยไม่เลือกสถานะ
เพราะมีสถานะ-ไม่มีสถานะ
ยังไงก็ตาย เหมือนกัน จะอยู่ในสถานะไหนก็ตายเหมือนกัน ...มันจะมาเลือก มันจะมาแบ่งไม่ได้ มันจะมารั้งจะมารอไม่ได้
ความตายไม่รั้งรอ
ไม่รอใครเลย แล้วก็ไม่มีหยุดรั้ง หรือมีเวลานอกสำหรับสถานะใดสถานะหนึ่งด้วย...ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้า ยังหนีไม่พ้นมรณะภัย
ไม่ต้องอ้างว่า
มันเป็นหน้าที่ของผู้ที่เป็นนักบวช หรือผู้ที่จะต้องบวชถึงจะทำได้เท่านั้น...ไม่อ้าง ...ภาษาอังกฤษว่า right here, right now ...ที่นี้ เดี๋ยวนี้ คือที่ภาวนา เวลาภาวนา
ไม่มีรู้...ทำรู้ให้ปรากฏ ไม่มีกาย...ทำกายให้ปรากฏ ...มันมีอยู่น่ะตลอดเวลา กายก็มีอยู่ตลอดเวลา ...อย่าให้มันจมหายไปในความคิด
อย่าให้มันจมหายไปกับอดีตอนาคต
อย่าให้มันจมหายไปกับเรื่องราวในโลก
อย่าให้มันจมหายไปกับรูปเสียงกลิ่นรส ความจำ อารมณ์ ความอยากความไม่อยาก
ทุกข์สุขแต่ประการใด ...อย่าให้มันจมหายไปในสิ่งเหล่านั้น
ขุดค้นมันขึ้นมา
แล้วก็ทรงไว้ในระดับปกติที่มันมี ที่มันเป็น ...ไม่ให้ดีกว่านั้น ไม่ให้เลวกว่านั้น ...ปกติ นั่งปกติ ยืนปกติ ว่าปกตินั่งรู้สึกยังไง ปกติยืนรู้สึกยังไง
ความรู้สึกปกติระหว่างการยืนการเดินของกายเป็นยังไง
นั่นน่ะทรงไว้ เดี๋ยวมันจมหาย ดำดิ่งไปในอารมณ์ที่มันปรุงขึ้นมาบัง อดีตอนาคตกลบ
บัง หายไปซะอย่างงั้น
แต่กายจริงๆ ไม่หายนะ...มีอยู่
แต่มันถูกกลบบัง ...นี่คือรากฐานของการภาวนา เริ่มต้นของการภาวนา
มันไม่มีที่อื่นเลยที่เป็นที่ภาวนา ตลอดสาย ที่นี้...คือที่ภาวนา
ถ้าเข้าใจคำว่าที่นี้ภาวนาแล้วไม่จำเป็นหรอกว่าจะบวชจะสึก
จะเป็นผู้หญิงผู้ชาย จะเป็นผู้มีหน้าที่การงาน หรือไม่มีหน้าที่การงาน
เป็นผู้ที่มีเรื่องราวมากมาย...ไม่เกี่ยว
ถือปัจจุบันเป็นที่ภาวนา ไม่กลัวเรื่องราวเหตุการณ์ยากลำบาก
หนักหน่วง เป็นตายร้ายดีอะไร ...ทีนี้ก็จะได้ปัญญาติดเนื้อติดตัวไป
สามารถเอาไปใช้ได้ทุกเวลาทุกสถานการณ์
เอ้า เอาแล้ว เดี๋ยวจะเจอฝนซะก่อน ...ไปอยู่กับความเงียบ ไปอยู่กับความมืด ให้คุ้นเคย ...ไปอยู่กับผี คุยกับผีให้รู้เรื่อง
จะได้ทำความคุ้นเคยกับผี หรือสิ่งที่มันมองไม่เห็น
ว่าใครหลอกกันแน่ จิตมันหลอกหรือผีมันหลอก แล้วก็จะเออ เท่านั้นแหละ ...ลองของ ลองสถานที่จริง แล้วจะรู้ว่า โอ น่าอยู่โว้ย ไม่น่าไปไหนเลย
..................................