วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 14/26 (2)


พระอาจารย์
14/26 (570506B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 พฤษภาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 14/26  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  พอเริ่มลุกออกไป ...ศีล สติ สมาธิ มันก็จะเริ่มเริ่มจางไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว...โดยธรรมชาติที่ความเข้มข้นในการปฏิบัติมันยังไม่ถึงขั้นซีเรียสจริงจัง

แต่คอยรั้งไว้...คอยรั้งกาย คอยรั้งรู้ไว้ อยู่เสมอ บ่อยๆ ...ศีลสมาธิปัญญามันก็อยู่ใกล้ ไม่อยู่ห่าง  เวลาเรียกใช้ เวลาน้อมนำ มันก็เข้าถึงได้ง่าย จับได้อยู่ ...ง่ายแล้วก็จับได้อยู่

นี่เรียกว่าคล่องแคล่วในการมาใช้กับชีวิตปัจจุบันประจำวัน ในการงาน ในการมาการไป การอยู่การกิน ...ศีลสมาธิปัญญามันก็ไม่อยู่ห่าง เรียกว่าไหว้วานใช้สอยได้ดั่งใจปรารถนาเลย ...นี่ ด้วยความคุ้นเคย 

ทีนี้ไม่ต้องกลัวมันจะไม่ต่อเนื่องแล้ว  มันก็เกิดความแข็งแกร่งต่อเนื่องขึ้นไป ...แล้วทุกอย่างมันชัดเจนเมื่อมันต่อเนื่องขึ้นมาเอง ...ถ้ามันยังไม่ต่อเนื่อง อะไรๆ มันก็ยังดูเหมือนขาดๆ เกินๆ หรือยังไม่ชัดเจนชัดแจ้งอะไร 

แต่ถ้ามันได้ต่อเนื่องแล้วนี่ มันจะชัดเจนขึ้นไปเรื่อยๆ ...ความเป็นจริงของกาย ความเป็นจริงของขันธ์ก็ชัดเจนขึ้นอย่างที่เขาปรากฏอย่างนั้น ไม่ถูกครอบงำโดยจิตง่ายๆ


เพราะนั้นผู้ปฏิบัตินี่ มันมักจะไปหลงฤทธิ์ติดเดช อะไรที่มันประหลาดมหัศจรรย์พิสดารนี่ ชอบกันจังเป็นวรรคเป็นเวรเลย คุยกันแบบข้ามวันข้ามคืนก็ยังไม่เบื่อที่จะฟังกัน

เพราะมันมีความปรารถนาลึกๆ กันทุกคน...เพื่อให้ได้ ให้มี ให้เป็นขึ้นมา...ในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ได้ ไม่มี ไม่เป็น ...แล้วก็เสร็จตัวความขี้อวดขี้โอ่ สะสมพอกพูนความเหนือกว่าของตัวเรา มันมีด้วยกันในสัตว์บุคคลทุกคน 

แต่พอเป็นอะไร ทำอะไรที่ตรงข้ามกับมันนี่  คือให้ลดราวาศอกหรือว่าลดน้อยถอยลงนี่ ...มันจะรู้สึกว่าไม่ยินยอม มันกลัวตัวมันนี่ถูกลบออกไปจากโลกนี้

เหมือนตัวเรานี่เป็นแค่ Nobody น่ะ  เป็น Something  ไม่มีค่า ...มันรู้สึกว่าไม่ใช่การที่ควร แล้วมันจะต้องพยายามสร้างค่าสร้างราคาของ "เรา" ขึ้นให้สูง สูงจนถึงขั้นที่ว่าคนอื่นเขารับรู้ได้น่ะ

นั่นแหละ พอเริ่มต้นก็มาสะสมพอกพูนในกิเลสความเป็นเรา...มันหลงผิดตั้งแต่ออกสตาร์ทแล้ว ...แล้วทำไปเรื่อยๆ แล้วคราวนี้มันก็มีสมบัติพัสถานของมันเยอะแยะไปหมด  ทิ้งก็ไม่กล้าทิ้งแล้ว เสียดายก็เสียดาย 

และถ้ายิ่งเป็นของดีของวิเศษก็ยิ่งเสียดายหนักขึ้นไปอีก ทิ้งยากกว่านั้นอีก ...เราถึงบอกว่า ผู้ชายเห็นผู้หญิงนี่ก็ชอบ ก็ติดแล้ว นี่ว่าละได้ยากแล้วนะ ...แต่ถ้าเป็นจิตในฌานสมาบัติ จิตอันเลิศ...นี่ยิ่งกว่า

ไปติดข้องในอารมณ์ที่พิสดารวิเศษ ความรู้ยิ่ง อภิญญานี่  ยิ่งละได้ยากกว่าตาเห็นรูปที่ผู้ชายเห็นผู้หญิง หรือผู้หญิงเห็นผู้ชายอีก บอกให้ ...ติดในนี่ล้างยากยิ่งกว่า


โยม –  มันละเอียดกว่ารึเปล่าครับ

พระอาจารย์ –  มันเป็นอารมณ์ที่ประณีตกว่า  มันมีความสุขลึกล้ำกว่าเยอะ...กับการที่เห็นรูป หรือเข้าไปเสพกามด้วยกายด้วยซ้ำ ...ถึงบอกว่าอย่าไปคิดเล่นเตะต้องมันเลย แล้วเวลาถ้ามันเกิดเสื่อมขึ้นมาทีนี้จิตแรงนี่เอาไม่อยู่เลย

เพราะนั้นการที่เดินจิตในลักษณะเรียบง่าย รู้เฉยๆ นี่ ปลอดภัย และก็มั่นคง ...ค่อยๆ มั่นคงขึ้นเอง เสถียร เพราะนั้นว่าจิตหรือใจนี่จะเริ่มเสถียรขึ้น

จากไอ้ใจแบบลุกลี้ลุกลน วอกแวกไปมา ก็จะเกิดความคงที่แล้วก็เสถียร อิ่มตัว เหมือนมันเซ็ทตัวอยู่ แล้วมันอิ่ม เสถียรรู้ เสถียรเห็น ไม่ค่อยเสื่อมจางคลายหายไปง่ายๆ ...นั่นแหละเรียกว่าไปแบบเรียบง่าย แต่มั่นคง ธรรมดา

เอ้า พอแล้ว วันนี้เท่านี้พอ พอให้ได้กระตุ้นให้เกิดความพากเพียร และก็ให้เกิดความมั่นใจว่า...รู้แค่นี้พอแล้ว รู้แค่กองกาย กองความรู้สึกในกายนี้...พอแล้ว 

รู้แค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องไปรู้ ไม่ต้องไปจำเป็นว่าจะต้องมีอะไร เพิ่มอะไร หรือไปลดอะไร ...มันปรากฏยังไงก็รู้อย่างงั้น ตรงไหนก็ได้


โยม –  อาจารย์ครับ ขอนอกเรื่องศีลสมาธิปัญญาหน่อยได้ไหมครับ ...ถ้าผมขายลอตเตอรี่นี่มันเป็นสัมมาอาชีพรึเปล่าครับ

พระอาจารย์ –  ลอตเตอรี่หรือหวยใต้ดิน


โยม –  ลอตเตอรี่ครับ

พระอาจารย์ –  ทำไปเหอะ ไม่มีปัญหา ไม่ได้ไปคดโกงใคร ...ขาย-ไม่ขายคนมันก็ลุ่มหลงอยู่แล้ว


โยม –  แล้วอย่างนี้มันไม่มิจฉาหรือครับ

พระอาจารย์ –  ถึงมันเป็นเรื่องมิจฉา มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องขัดขวางมรรคผลและนิพพานโดยตรง


โยม –  มันก็ขัดขวางหน่อยๆ

พระอาจารย์ –  มันก็มีอานิสงส์บ้าง แต่ว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร


โยม –  อานิสงส์นี่คือสิ่งไม่ดีอย่างนี้หรือครับ

พระอาจารย์ –  มันก็มาขัดขวางบ้าง เป็นความรู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกถูก-ผิด ...ไม่แล้วใจ  เข้าใจรึเปล่า นี่คืออานิสงส์


โยม –  ผลพลอยได้ที่จะตามมา คืออานิสงส์

พระอาจารย์ –  แล้วมันเกิดความรู้สึก guilty หรืออะไรอย่างนี้ ...นี่คือความยึดในการกระทำ แล้วมันยังละการกระทำไม่ได้ ว่าถูกว่าผิด ว่าควรหรือไม่ควร ...นี่มันจะติดเป็นกรรมภายใน

จนกว่ามันจะถอดถอนหรือเข้าใจ...ว่ากรรมทั้งหลายทั้งปวงนี่ อยู่ที่ความยึดมั่นถือมั่น  บุญและบาปก็อยู่ที่ความยึดมั่นถือมั่น ถูกและผิดก็อยู่ที่ความยึดมั่นถือมั่นเท่านั้นเอง

นี่ ค่านิยมหรือว่าธรรมเนียม มันก็จะติดไปจนกว่าจะเพิกถอนได้แต่ถ้ามันไม่ได้ทำนี่ มันก็จะไม่ได้คิดว่าถูกหรือผิด  เนี่ย มันก็ดูเหมือนง่ายขึ้น 

มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ขัดขวางอะไรโดยตรง ...แต่ถ้าเป็นผู้ที่...สำหรับผู้ที่เขายึดในรูปแบบ หรือยึดในกรรมวิธี หรือว่ายึดในบุญและบาปอย่างยิ่งนี่  ก็จะบอกว่าไม่ดี ห้าม อะไรอย่างนี้


โยม –  ลอตเตอรี่นี่นะฮะ

พระอาจารย์ –  อือ หรือแม้กระทั่งขายเครื่องศาสตราวุธ ยาพิษ เหล้า อะไรพวกนี้  ก็จะตำหนิว่าเป็นตัวให้ขัดขวางมรรคผลและนิพพานอย่างยิ่ง แต่ถ้าเป็นเรานี่ เราไม่ว่าอะไร


โยม –  ทำไมครับ

พระอาจารย์ –  ใช้ปัญญา เข้าใจมั้ย  ถ้ามีปัญญาแล้วแยกแยะออก...ว่าการกระทำ เราไม่ได้ขายด้วยเจตนาที่จะให้ใครไปทำร้ายทำลายกัน เพื่อดำรงชีพแค่นั้นเอง อย่าไปยึดมากเกินไปจนมากังวลเศร้าหมอง


โยม –  ถ้าเปลี่ยนได้ก็ดีกว่าใช่ไหมครับ

พระอาจารย์ –  ก็ถ้ามันเปลี่ยนได้ก็ดี เราก็ไม่ต้องมาข้อง... เพราะเรายังละสมมุติบัญญัติไม่ได้ ยังละความเห็นของคนในโลกไม่ได้  เรายังออกจากกรอบของความคิดความเห็นของคนไม่ได้ ...มันก็ต้องเศร้าหมองอยู่วันยันค่ำ


โยม –  อาจารย์ ถ้าเกิดไม่ขายนี่ ทำอะไรดีครับอาจารย์

พระอาจารย์ – ไม่รู้ ขายไปเถอะ ไม่มีอะไร ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ขายส่งใช่ไหม หรือไง


โยม –  ก็ทั้งปลีกทั้งส่งน่ะครับ

พระอาจารย์ –  ทำไปเหอะ ทำไปด้วยรู้ตัวไปด้วย พิจารณาไป


โยม –  อาจารย์มีอะไรแนะนำบ้างครับ

พระอาจารย์ –  ไม่มีอะไรน่ะ ทำอะไรให้มีสติทุกการกระทำคำพูด  ไม่ว่าจะถูก ไม่ว่าจะผิด มีสติเข้าไว้ เข้าใจป่าว ไม่ว่าคนจะว่าไม่ถูก คนเขาจะว่าไม่ดี ทำอะไรก็ทำไปเถอะ

แล้วก็รู้ตัวไว้ในการกระทำนั้นๆ อยู่กับเนื้อกับตัวไว้  ใครจะว่าถูกใครจะว่าผิดก็รู้ตัวเข้าไว้ ในการกระทำนั้นๆ ...แล้วมันจะเข้าใจเองน่ะ แล้วอย่าไปติดกับคำพูดของคน อย่าไปติดกับความเห็นของคน


โยม –  มันจะไม่สุดโต่งไปเองหรือครับ

พระอาจารย์ –  ไม่สุดโต่งหรอก ...ถ้าสุดโต่งก็เรียกว่ามันสุดโต่งเข้ามาในองค์มรรคน่ะ มันไม่ได้สุดโต่งไปตามกระแสโลกน่ะ 

ไม่อย่างงั้นมันจะถูกลมปากของมนุษย์นี่ ความเห็นของมนุษย์นี่ พัดปลิวไปซ้าย-ขวาๆ  งงไปหมด ไม่รู้กูจะไปทางไหนเลยน่ะ เข้าใจป่าว

เพราะนั้นทำไปเถอะ ตัดสินใจทำไปเถอะ ...ขอให้มันไม่ไปฆ่าคน ขอให้มันไม่ไปทำร้าย...แบบทำให้เกิดการเบียดเบียนโดยตรง โดยทันที โดยเห็นได้ชัดอย่างนี้ ...ทำไปเหอะ 

แล้วก็ทำด้วยความรู้ตัว ...แล้วมันจะเกิดความเข้าใจในการกระทำคำพูดของตัวเอง ว่ามันถูก-มันผิด มันดี-มันร้าย มันชอบมันควรตรงไหน ...มันไม่ได้อยู่ที่การกระทำ อยู่ที่ใจที่เป็นกลาง มันก็จะข้ามพ้นได้ 

มันก็ทำไป จนระดับที่มันพออยู่ตัวได้ ในทรัพย์สินเงินทอง มันก็ค่อยๆ เลิกราเพิกถอนกันไปเอง ...อย่าไปคิด อย่าไปกังวลกับคำพูดของคนมาก ตำรับตำรานี่ก็อีก


โยม –  ทำไมอาจารย์ “เซ็น” จังเลยครับ

พระอาจารย์ –  คือมันไปยึดจนเป็นการแบกคัมภีร์กันไปหมดแล้ว


โยม –  แบกตำราตีกัน

พระอาจารย์ –  เออ จนไม่รู้อันไหนถูก-ผิดกันแล้ว จนไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดกันแล้วเดี๋ยวนี้ อ้างแต่พระธรรม ล้ำลึก ลึกซึ้ง ...ไม่เห็นตัวมันทำได้เลยไอ้คนพูดน่ะ

ตัวมันก็ยังยึดในบุญและบาปอย่างยิ่งอยู่ แค่นั้นน่ะ ไอ้พูดออกมาด้วยความที่ยึดในบุญและบาปอย่างยิ่งนั่นก็ผิดแล้ว ...ยังไม่เข้าใจ ยังไม่แจ้งในความเป็นจริงเลย


โยม –  เพื่อเอาบุญใช่ไหมครับ ถ้าจะทำเพื่อเอาบุญ

พระอาจารย์ –  ทำบุญเอาหน้า รู้จักรึเปล่า เพื่อรักษาหน้าตาไว้เท่านั้นเอง ว่าเราเป็นผู้มีบุญ ว่าเราเป็นคนดี ...มันไม่เข้าใจหรอก มันกลายเป็นว่าผิดวัตถุประสงค์ไปหมดเลยน่ะ

เลยเข้าไม่ถึงว่าบุญ-บาปที่แท้จริงคืออะไร ที่มาของบุญและบาปคืออะไร ที่มาของถูกและผิดคืออะไร  มันก็ไปติดๆๆ ติดอยู่กับพวกนี้ ...เจอสกัดจุดหมดน่ะ ทำอะไรไม่ถูกเลย งง มึนตึ้บเหมือนไก่ตาแตก

เพราะนั้นก็ทำไปเหอะ รู้ตัว ไม่ไปเบียดเบียนกับกันซึ่งหน้าโดยตรงแค่นั้นน่ะ พอแล้ว ไม่ไปทำร้ายทำลายใครโดยอาวุธ โดยคำพูด ...รักษาศีลในระดับภายนอกแค่นั้นไว้

ส่วนดูเหมือนไปทำร้ายทำลายโดยอ้อมโดยไม่เจตนานี่ ทำไปเถอะ เพื่อเลี้ยงชีพชอบไป ...แล้วก็รู้ตัวไปพร้อมปัญญา มันก็จะค่อยๆ แยกแยะถูกผิดได้เอง

และต่อไปมันจะรู้ว่าอะไรควรเลิก อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรไม่ควรทำอย่างยิ่ง อะไรควรทำอย่างยิ่ง


โยม – (หัวเราะ) อาจารย์ทำไมไม่บอกผมเลยล่ะครับ

พระอาจารย์ –  มันต้องรู้เอง ...ทำไป แล้วก็เรียนรู้ไป รับผลไป...เรียนรู้ไป แยกแยะไป  มันจะต้องเป็นปัญญาของเจ้าของ ...จะมาอาศัยลมหายใจของเราไปหายใจไม่ได้  ใช้ไม่ได้ด้วย มันคนละอันกัน

มันก็ต้องยืนด้วยลมหายใจของตัวเอง ยืนด้วยแข้งขาของตัวเอง  นั่นล่ะคือปัญญาของเจ้าของเอง จากชีวิตจริง จากกายจริง จากเหตุการณ์จริง จากปัจจุบันจริงๆ ...นั่นล่ะ ถึงจะเป็นของแท้

เอ้า พอแล้ว อย่าไปกังวล ...ดี-ไม่ดีมันอาจจะขายไม่หมดแล้วถูกรางวัลที่หนึ่งแจ็กพอต แล้วก็เลยเลิกขายไปเลยก็ได้ ใครจะไปรู้ (หัวเราะกัน)

โยม –  สาธุ อาจารย์ดักแน่เลยครับ


......................................




วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 14/26 (1)


พระอาจารย์
14/26 (570506B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 พฤษภาคม 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นถ้าตัดเรื่องอยากรู้นั่น อยากเห็นนี่ อยากได้อะไรออกซะนี่

โยม –  มันเห็นเองน่ะครับ

พระอาจารย์ –  เห็นก็เห็นไป อย่าไปจริงจังมั่นหมาย


โยม –  อยากถามอาจารย์อยู่เหมือนกัน

พระอาจารย์ –  ไอ้ที่เห็น...กำลังเห็นตอนนั้นน่ะ คือการปรากฏขึ้นมาจริง ...แต่เรื่องราวในนั้นน่ะ จริง-ไม่จริง...ไม่รู้ เข้าใจมั้ย


โยม –  หมายถึง?

พระอาจารย์ –  คือการปรากฏน่ะปรากฏขึ้นจริง...ในขณะปัจจุบันนั้นน่ะ


โยม –  หมายถึงผีนี่หรือฮะ

พระอาจารย์ –  เออ แต่ว่าอย่าไปสืบเนื่องเป็นอดีต-อนาคต


โยม –  เห็นก็ปล่อยมันไป

พระอาจารย์ –  ก็แค่นั้น แค่เห็น แค่รู้ว่ามีในปัจจุบันน่ะ ...แต่จริงไม่จริง นี่ ให้จริงอยู่แค่ในปัจจุบัน


โยม –  ไม่มีก็ไม่จริงแล้ว มันไม่ใช่เราเห็นแล้ว มันก็ไม่จริงแล้ว

พระอาจารย์ –  อือ แล้วถ้ามันข้ามพ้นปัจจุบันไปแล้วนี่ ...อย่าไปต่อในอดีต-อนาคต คืออย่าไปคิดอย่าไปหา


โยม –  ว่ามันมาทำไม

พระอาจารย์ –  เออ นี่เขาเรียกว่าไม่ยอมจบ ...ถ้าไม่ยอมจบอย่างนี้เขาเรียกว่าข้อง มันเข้าไปข้อง



โยม –  บางทีมันมีน่ะครับอาจารย์ ผมนึกว่าตัวเองฟุ้งซ่าน มันก็เลยไม่รู้ว่า เราเห็นจริงรึเปล่า

พระอาจารย์ –  ไม่ว่ามันจะเห็นจริง-ไม่จริง แล้วมันรู้สึกว่ามันเห็นขึ้นมานี่ พอแล้ว มันก็ปรากฏอย่างนั้นจริงๆ แค่ตรงนั้น ...แต่ว่าในความเป็นจริงนี่มันจะเป็นจริงรึเปล่านี่ไม่รู้ ไม่ต้องหา

อาจจะเป็นจิตปรุงก็ได้ อาจจะเป็นของจริงก็ได้ ไม่ต้องไปคิดไปหา  แต่ว่าความรับรู้ตรงนั้นน่ะมันเกิดปรากฏจริง แต่ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่าแค่นั้นเอง ...อย่าไปต่อ ก็แค่นั้น

ก็ทิ้งลงไป ทิ้งอดีต ทิ้งอนาคต ...พอมันเหลือแต่ปัจจุบัน เดี๋ยวมันก็หายไป ความรับรู้กับตรงนั้น ความสำเหนียกรู้กับสิ่งตรงนั้น มันก็หายไป

มันก็ไม่เข้าไปกังวล หรือว่ากลัว หรือว่าไปวิพากษ์วิจารณ์ ไปวิตกวิจารณ์อะไรกับมันต่อ นี่เขาเรียกว่าเยิ่นเย้อ ...นิมิตก็คือนิมิต แม้แต่กาย แม้แต่ขันธ์นี่ ก็ยังเรียกว่านิมิตเลย 


โยม –  สักวันมันก็เสื่อมไปใช่ไหม

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องสักวันหรอก มันเสื่อมทุกขณะปัจจุบันน่ะ บอกให้


โยม –  เพียงแค่เราดูมันไม่ออกแค่นั้นเอง

พระอาจารย์ –  ลุกแล้วนั่ง นั่งแล้วเดิน ...ดับมั้ยเล่า


โยม –  ดับไปครับ

พระอาจารย์ –  แล้วเอาคืนได้มั้ย


โยม –  เอาคืนไม่ได้

พระอาจารย์ –  อือ เห็นมั้ยว่า มันดับอยู่ทุกปัจจุบัน ...กายนี่ มันไม่คงที่หรอก มันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา มันไม่สามารถรั้งให้อยู่ได้ เปลี่ยนภาพปึ้บนี่ เอาภาพเก่าคืนมาไม่ได้แล้ว

ได้ก็เป็นภาพใหม่ที่เหมือนเก่า เข้าใจรึเปล่า ...แต่ไอ้ภาพเก่านั่น ความรู้สึกตรงนั้นน่ะที่เก่าที่มันดับไปแล้วน่ะ เอาคืนไม่ได้แล้วนะ ...ดับแล้วดับเลยนะ

เรียกร้องยังไง เซ่นสรวงบอกกล่าว ก็ได้แต่เลียนแบบท่าทางเดิม แค่นั้นเอง ...เนี่ย มันเลยเกิดความเข้าใจว่ากายนี่สืบเนื่องต่อเนื่อง  ที่จริงมันดับแล้วดับเลย..ดับแล้วดับเลย อยู่ตลอดเวลา

จนกว่ามันจะดับแล้วไม่ต่อเนื่อง...คือตาย นั่นเรียกว่าตาย  คือหมดอายุขัย หมดอายุขันธ์ หมดวิบากกรรม ...มันไม่สืบเนื่องต่อด้วยอำนาจของการปรุงแต่งเหตุปัจจัยของธาตุขันธ์แค่นั้นเอง

แต่ที่มันตั้งอยู่เป็นปัจจุบัน...ทุกปัจจุบันนี่  ถ้าดับแล้ว หมายความว่าเอาคืนไม่ได้แล้ว 

มันไปในที่ไหน ไปอยู่ตรงไหน ...ก็คือไปอยู่บนความว่างเปล่าแล้ว ไปอยู่ในความไม่มีตัวตนแล้ว ไปอยู่ในความเป็นอนัตตาแล้ว ตลอดเวลามันเป็นอย่างนั้น

เพราะนั้นการที่มันเรียนรู้ดูเห็นในกองกาย มันจะเข้าใจลึกซึ้งในความเป็นไปของกาย เขาแสดงให้เห็นในทุกแง่ทุกมุมอยู่ตลอดเวลา

แต่ตอนนี้ปัญญามันยังไม่สามารถเข้าไปสอดส่องด้วยความต่อเนื่อง มันเลยไม่เห็นในแง่มุมที่จะให้เกิดปัญญากับกาย


โยม –  ก็อดทนดูมันไปใช่ไหมฮะ

พระอาจารย์ –  อดทนดูมันไปเถอะ แล้วมันก็จะค่อยๆ เปิดเผยกระจ่างขึ้น เข้าใจลึกซึ้งขึ้น ...จนรู้สึกว่าไม่รู้จะเอาอะไรกับมันดี ไม่รู้จะไปจริงจังกับมันทำไม ไม่รู้จะไปแบกหามมันทำไม

ไม่รู้จะไปถือครองอะไรกับมันนักหนา ...เพราะมันเป็นของที่มันเกิดดับตามธรรมชาติของมันเอง ไม่ใช่เป็นธุระหน้าที่อะไรของใครเลย ...แล้วก็ไม่สามารถควบคุมบังคับการเกิดการดับของมันด้วย

นั่งแล้วลุกนี่ สั่งให้มันคงอยู่ในความรู้สึกที่นั่งให้คงอยู่นี่ สั่งมันสิ...สั่งไม่ได้น่ะ  รั้งมันไว้ เอาปืนมาจ่อ เอามีดมาจี้ ให้ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่...ไม่ได้ ...เห็นมั้ย ไม่มีอะไรมาบังคับได้

เพราะนั้น มันยังคงเหลือไว้แต่สัญญา เข้าใจมั้ย ...คือจำได้ว่าความรู้สึกเมื่อกี้รู้สึกยังไง ท่าทางเมื่อกี้เป็นยังไง ...นี่ มันคงไว้แต่สัญญา

แต่จริงๆ ตัวกายนี่ไม่ต้องไปหาแล้ว มันดับไปหมดสิ้นตั้งแต่ปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแล้ว ...มันไม่ได้ขึ้นกับอำนาจใดอำนาจหนึ่งโดยตรง ...โดยเฉพาะ "เรา" ไม่ได้เกี่ยวกันเลย

เรียนรู้เข้าไป สังเกตมันเข้าไป อย่าไปรู้ไปเห็นที่อื่น ...แล้วมันก็จะค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น พร้อมกับเป็นอิสระขึ้น...จากการผูกพันมั่นหมายกับก้อนนี้กองนี้อย่างจริงจัง เอาเป็นเอาตาย ...มันค่อยๆ คลายออกๆ ทีละนิดๆ 

นั่นแหละ ก็จะรู้สึกได้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ...คือตอนนี้มันมีแต่คนนั้นคนนี้เขาสอนเขาแนะ ใช่มั้ย มันก็เลยไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร (โยมหัวเราะ)

มีแต่อาจารย์องค์นั้นบอก อาจารย์องค์นี้แนะ หรือว่าเพื่อนแนะ หรือว่าคนที่น่าเชื่อถือเขาแนะ ก็เลยไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร

แต่พอทำไปอย่างนี้ อยู่ในองค์ศีลสมาธิปัญญาไปนี่ ...มันจะเข้าใจเอง เป็นปัจจัตตัง...อ๋อ นี่แหละ ที่พระพุทธเจ้าสอน


โยม –  อาจารย์เคยไปติดบ้างไหมครับ

พระอาจารย์ –  ไม่ติดหรอก เพราะเราไม่ได้มุ่งสมาบัติอะไร


โยม –  ผมก็ไม่ทำแล้วนะครับ ที่อาจารย์บอกไม่ให้ทำ ผมก็ไม่ทำมาตั้งนานแล้ว

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ดีแล้ว  อย่าไปเล่นกับไฟ เพราะไฟมันจะไหม้มือ ไปเข้าใจว่าเป็นของดีของวิเศษ เข้าใจว่าเป็นของใช้ประโยชน์ได้ ...คิดผิดหมดน่ะ ความเห็นนี้ผิดหมดเลย


โยม –  มิจฉาทิฏฐิใช่ไหมครับ

พระอาจารย์ –  อือ ไปเข้าใจว่ามันจะเป็นสิ่งที่เอื้อต่อองค์มรรค หรือว่าทำให้การเดินในมรรคเร็วขึ้น ...คิดผิดหมดน่ะ

หลวงปู่ท่านยังเคยบอกเลย...มีอยู่วันหนึ่ง เราก็เกิดความสงสัย กังวลขึ้นมาว่า...หรือว่าต้องทำสมาบัติให้เต็มก่อน แล้วมันจะเป็นฐานกำลังต่อสมาธิปัญญา

คือสมาธิปัญญาเราก็เข้าใจ แต่มันรู้สึกว่าไม่เป็นไปดั่งที่ต้องการ หรือว่าต้องเอาสมาบัติมาช่วย แล้วก็ทำให้สมาธิปัญญามันแจ่มชัดขึ้น

แค่คิดนี่ นั่งคิดอยู่ในกุฏิ ...แล้วพอทุ่มนึงแล้วเราก็ไปนั่งฟังเทศน์ เราไปนั่งก่อนที่หลวงปู่ท่านจะเข้ามาเทศน์น่ะ หลวงปู่ท่านก็เดินออกมา

ยังไม่ทันนั่งเลย ท่านมือไขว้หลังเดินพูดขึ้นมาลอยๆ เลยว่า..."ชานบ้าน ชานบ้าน...ไม่ได้มีไว้ให้อยู่ มีไว้ให้นั่งเล่น ต้องอยู่ที่บ้าน" ...ท่านว่าอย่างนี้ ท่านพูดขึ้นมาเอง


โยม –  คืออะไรครับ ไม่เข้าใจ

พระอาจารย์ –  ที่อาศัยอยู่หลับนอนจริงๆ  ต้องอยู่ในบ้าน ไม่ใช่อยู่ที่นอกชาน ...ชานบ้านเอาไว้นั่งเล่น เข้าใจรึเปล่า ...แค่ท่านพูดแค่นี้ เรารู้เลย เข้าใจเลย ว่าไม่เกี่ยว ไม่จำเป็นด้วย ไม่ได้สนับสนุนโดยตรงด้วยซ้ำ

เพราะนั้นจิตที่มันมุ่งไป แตกออกไป ที่ว่าจะต้องไปทำฌานให้เต็ม ให้พร้อม ให้มีกำลังนี่  ก็ล้มเลิกไป ...แล้วก็กลับมาทำความรู้เห็นอยู่ภายในกายตัวเดียว...คือฐานคือบ้านที่แท้จริง

นี่ ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาอย่างนี้ แล้วหนึ่ง เรามีปัญญาตีความได้ เพราะว่ามันทำโดยสมาธิปัญญาอยู่แล้ว ...เพราะนั้นทุกอย่างมันน้อมลงสู่สมาธิปัญญาทั้งนั้น ไม่ได้ไปตีความเป็นอื่น

แล้วมีความนอบน้อมต่อครูบาอาจารย์...ฟัง แล้วไม่ขัด ไม่แย้ง  ก็ทิ้งได้ง่าย ไม่ดื้อดึงดัน เพราะนั้นถ้าไปเล่นสมาบัติ ทำสมาบัติอะไรนี่ ป่านนี้คงไปตั้งสำนักใหญ่แล้ว มีความรู้ยิ่ง


โยม –  ผมก็ไม่ได้ทำแล้วอาจารย์

พระอาจารย์ –  ดีแล้ว อย่าไปเล่นกับไฟ เล่นแล้วจะติด ติดแล้วถอนตัวไม่ออก ถอนได้ยาก


โยม –  แล้วอย่างเวลานั่งสมาธิอยู่ในรูปแบบนี่ละครับ มันก็ดูทั้งกาย ดูทั้ง...

พระอาจารย์ –  นั่งรู้ตัว นั่ง..ว่ากูจะนั่งเฉยๆ ไม่เอาอะไร ...กำหนดไว้อย่างนี้เลย จะนั่งเฉยๆ นั่งเอารู้ นั่งเอาว่ารู้ว่านั่ง  นอกจากนั่งนี่ไม่เอาอะไร เอาแต่ความรู้สึกว่ากำลังนั่ง กับความรู้สึกแค่ว่ากำลังนั่ง แค่เนี้ย

แล้วนอกนั้นไปนี่ ไม่เอาอะไรเลย ...แม้แต่ลึกๆ มันจะให้หาอะไร ให้รู้อะไรมากกว่านี้ก็ไม่เอา จะเอาแต่ว่านั่ง ...เขาเรียกว่ายืนกระต่ายขาเดียว

นั่งก็รู้ว่านั่ง จะนั่งเพื่อทำความรู้สึกว่านั่งจริงๆ ...ไม่ใช่นั่งเล่นๆ จะนั่งจริงๆ  ไม่ใช่นั่งเล่นๆ แล้วก็ไปคิดเรื่องอื่นอย่างนี้ หรือไปทำอย่างอื่น ...นั่งก็นั่งจริงๆ อยู่กับนั่งจริงๆ

นี่ ถ้านั่งสมาธิในรูปแบบนะ แล้วมันจะเกิดความหนักแน่นกับกายกับจิตขึ้นมาภายใน ไม่มีความรู้เห็นอื่นเลย ...มีแต่กายกับนั่ง มีความรู้สึกของนั่ง มันจะแข็งแกร่ง

ความรู้สึกว่านั่งอย่างนี้เรื่อยๆ ทิ้งน้ำหนักไป กดน้ำหนักไป ทำความรู้สึกกับการทิ้งน้ำหนักตัวลงไป อยู่กับความรู้สึกว่ากำลังทิ้งน้ำหนักตัวอยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่ต้องอะไร

จนจิตมันไม่ไปไม่มา...ทีนี้ก็สบายแล้ว มันก็อยู่ตัว ...พอมันอยู่ตัวแล้ว ไม่ต้องไปมุ่งในน้ำหนักอย่างจริงจัง มันก็คลายออก  พอคลายออกปุ๊บ มันก็เกิดความรู้ตัวแบบสบายๆ เบาๆ

ตัวเบาแล้วจิตก็ไม่ลอยไม่ฟุ้งด้วย แต่มันจะรู้เบาๆ แต่ว่าคมชัด จะมีความคมชัดขึ้น  เหมือนกับเราเปิดคลื่นวิทยุแล้วมันยังไม่ตรงช่อง ...พอถึงตรงนั้นแล้วมันพอดีเป๊ะน่ะ มันมีความคมชัดอยู่ภายใน

เนี่ย คือว่าความสมดุลระหว่างสติศีลสมาธิมันสมดุลกัน ...แล้วมันก็ไม่มีคลื่นแทรก จิตก็ไม่โผล่เป็นคลื่นแทรก เป็นเรื่องราวใดๆ ...มันก็อยู่ตัวของมันได้ อยู่ด้วยตัวลำพังของมัน

กาย-ใจ...มันก็อยู่โดยลำพังของมัน ...ไม่ต้องอาศัยจิต ไม่ต้องอาศัยความคิด ไม่ต้องอาศัยอดีตอนาคต มันก็อยู่ได้ อยู่ตัวของมัน แล้วก็ทรงไว้ เท่าที่จะทรงได้

จนมันรู้สึกว่า พอแล้ว เหนื่อยแล้ว จะพักแล้ว ก็ค่อยๆ เปลี่ยนอิริยาบถลุกจากท่านั้น ...แล้วก็พยายามทรงรักษาไว้ให้ต่อเนื่องไป ทรงความรู้ตัวนั้นไว้อยู่จนกว่าจะเข้านอนหลับไป 


(ต่อแทร็ก 14/26  ช่วง 2)