พระอาจารย์
14/26 (570506B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 พฤษภาคม 2557
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 14/26 ช่วง 1
แต่คอยรั้งไว้...คอยรั้งกาย
คอยรั้งรู้ไว้ อยู่เสมอ บ่อยๆ ...ศีลสมาธิปัญญามันก็อยู่ใกล้ ไม่อยู่ห่าง เวลาเรียกใช้ เวลาน้อมนำ มันก็เข้าถึงได้ง่าย จับได้อยู่ ...ง่ายแล้วก็จับได้อยู่
นี่เรียกว่าคล่องแคล่วในการมาใช้กับชีวิตปัจจุบันประจำวัน
ในการงาน ในการมาการไป การอยู่การกิน ...ศีลสมาธิปัญญามันก็ไม่อยู่ห่าง เรียกว่าไหว้วานใช้สอยได้ดั่งใจปรารถนาเลย ...นี่ ด้วยความคุ้นเคย
ทีนี้ไม่ต้องกลัวมันจะไม่ต่อเนื่องแล้ว มันก็เกิดความแข็งแกร่งต่อเนื่องขึ้นไป ...แล้วทุกอย่างมันชัดเจนเมื่อมันต่อเนื่องขึ้นมาเอง ...ถ้ามันยังไม่ต่อเนื่อง อะไรๆ
มันก็ยังดูเหมือนขาดๆ เกินๆ หรือยังไม่ชัดเจนชัดแจ้งอะไร
แต่ถ้ามันได้ต่อเนื่องแล้วนี่ มันจะชัดเจนขึ้นไปเรื่อยๆ ...ความเป็นจริงของกาย
ความเป็นจริงของขันธ์ก็ชัดเจนขึ้นอย่างที่เขาปรากฏอย่างนั้น
ไม่ถูกครอบงำโดยจิตง่ายๆ
เพราะนั้นผู้ปฏิบัตินี่
มันมักจะไปหลงฤทธิ์ติดเดช อะไรที่มันประหลาดมหัศจรรย์พิสดารนี่ ชอบกันจังเป็นวรรคเป็นเวรเลย
คุยกันแบบข้ามวันข้ามคืนก็ยังไม่เบื่อที่จะฟังกัน
เพราะมันมีความปรารถนาลึกๆ กันทุกคน...เพื่อให้ได้ ให้มี ให้เป็นขึ้นมา...ในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ได้ ไม่มี ไม่เป็น ...แล้วก็เสร็จตัวความขี้อวดขี้โอ่
สะสมพอกพูนความเหนือกว่าของตัวเรา มันมีด้วยกันในสัตว์บุคคลทุกคน
แต่พอเป็นอะไร ทำอะไรที่ตรงข้ามกับมันนี่ คือให้ลดราวาศอกหรือว่าลดน้อยถอยลงนี่ ...มันจะรู้สึกว่าไม่ยินยอม
มันกลัวตัวมันนี่ถูกลบออกไปจากโลกนี้
เหมือนตัวเรานี่เป็นแค่ Nobody น่ะ
เป็น Something ไม่มีค่า ...มันรู้สึกว่าไม่ใช่การที่ควร แล้วมันจะต้องพยายามสร้างค่าสร้างราคาของ "เรา" ขึ้นให้สูง
สูงจนถึงขั้นที่ว่าคนอื่นเขารับรู้ได้น่ะ
นั่นแหละ พอเริ่มต้นก็มาสะสมพอกพูนในกิเลสความเป็นเรา...มันหลงผิดตั้งแต่ออกสตาร์ทแล้ว ...แล้วทำไปเรื่อยๆ แล้วคราวนี้มันก็มีสมบัติพัสถานของมันเยอะแยะไปหมด ทิ้งก็ไม่กล้าทิ้งแล้ว
เสียดายก็เสียดาย
และถ้ายิ่งเป็นของดีของวิเศษก็ยิ่งเสียดายหนักขึ้นไปอีก
ทิ้งยากกว่านั้นอีก ...เราถึงบอกว่า ผู้ชายเห็นผู้หญิงนี่ก็ชอบ ก็ติดแล้ว นี่ว่าละได้ยากแล้วนะ ...แต่ถ้าเป็นจิตในฌานสมาบัติ จิตอันเลิศ...นี่ยิ่งกว่า
ไปติดข้องในอารมณ์ที่พิสดารวิเศษ
ความรู้ยิ่ง อภิญญานี่ ยิ่งละได้ยากกว่าตาเห็นรูปที่ผู้ชายเห็นผู้หญิง
หรือผู้หญิงเห็นผู้ชายอีก บอกให้ ...ติดในนี่ล้างยากยิ่งกว่า
โยม – มันละเอียดกว่ารึเปล่าครับ
พระอาจารย์ – มันเป็นอารมณ์ที่ประณีตกว่า มันมีความสุขลึกล้ำกว่าเยอะ...กับการที่เห็นรูป หรือเข้าไปเสพกามด้วยกายด้วยซ้ำ ...ถึงบอกว่าอย่าไปคิดเล่นเตะต้องมันเลย
แล้วเวลาถ้ามันเกิดเสื่อมขึ้นมาทีนี้จิตแรงนี่เอาไม่อยู่เลย
เพราะนั้นการที่เดินจิตในลักษณะเรียบง่าย
รู้เฉยๆ นี่ ปลอดภัย และก็มั่นคง ...ค่อยๆ มั่นคงขึ้นเอง เสถียร เพราะนั้นว่าจิตหรือใจนี่จะเริ่มเสถียรขึ้น
จากไอ้ใจแบบลุกลี้ลุกลน วอกแวกไปมา
ก็จะเกิดความคงที่แล้วก็เสถียร อิ่มตัว เหมือนมันเซ็ทตัวอยู่ แล้วมันอิ่ม เสถียรรู้
เสถียรเห็น ไม่ค่อยเสื่อมจางคลายหายไปง่ายๆ ...นั่นแหละเรียกว่าไปแบบเรียบง่าย
แต่มั่นคง ธรรมดา
เอ้า พอแล้ว วันนี้เท่านี้พอ
พอให้ได้กระตุ้นให้เกิดความพากเพียร และก็ให้เกิดความมั่นใจว่า...รู้แค่นี้พอแล้ว
รู้แค่กองกาย กองความรู้สึกในกายนี้...พอแล้ว
รู้แค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องไปรู้
ไม่ต้องไปจำเป็นว่าจะต้องมีอะไร เพิ่มอะไร หรือไปลดอะไร ...มันปรากฏยังไงก็รู้อย่างงั้น
ตรงไหนก็ได้
โยม – อาจารย์ครับ ขอนอกเรื่องศีลสมาธิปัญญาหน่อยได้ไหมครับ ...ถ้าผมขายลอตเตอรี่นี่มันเป็นสัมมาอาชีพรึเปล่าครับ
พระอาจารย์ – ลอตเตอรี่หรือหวยใต้ดิน
โยม – ลอตเตอรี่ครับ
พระอาจารย์ – ทำไปเหอะ ไม่มีปัญหา ไม่ได้ไปคดโกงใคร ...ขาย-ไม่ขายคนมันก็ลุ่มหลงอยู่แล้ว
โยม – แล้วอย่างนี้มันไม่มิจฉาหรือครับ
พระอาจารย์ – ถึงมันเป็นเรื่องมิจฉา
มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องขัดขวางมรรคผลและนิพพานโดยตรง
โยม – มันก็ขัดขวางหน่อยๆ
พระอาจารย์ – มันก็มีอานิสงส์บ้าง
แต่ว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
โยม – อานิสงส์นี่คือสิ่งไม่ดีอย่างนี้หรือครับ
พระอาจารย์ – มันก็มาขัดขวางบ้าง เป็นความรู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกถูก-ผิด ...ไม่แล้วใจ เข้าใจรึเปล่า นี่คืออานิสงส์
โยม – ผลพลอยได้ที่จะตามมา คืออานิสงส์
พระอาจารย์ – แล้วมันเกิดความรู้สึก guilty หรืออะไรอย่างนี้ ...นี่คือความยึดในการกระทำ
แล้วมันยังละการกระทำไม่ได้ ว่าถูกว่าผิด ว่าควรหรือไม่ควร ...นี่มันจะติดเป็นกรรมภายใน
จนกว่ามันจะถอดถอนหรือเข้าใจ...ว่ากรรมทั้งหลายทั้งปวงนี่ อยู่ที่ความยึดมั่นถือมั่น บุญและบาปก็อยู่ที่ความยึดมั่นถือมั่น ถูกและผิดก็อยู่ที่ความยึดมั่นถือมั่นเท่านั้นเอง
นี่ ค่านิยมหรือว่าธรรมเนียม
มันก็จะติดไปจนกว่าจะเพิกถอนได้ …แต่ถ้ามันไม่ได้ทำนี่ มันก็จะไม่ได้คิดว่าถูกหรือผิด เนี่ย
มันก็ดูเหมือนง่ายขึ้น
มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ขัดขวางอะไรโดยตรง ...แต่ถ้าเป็นผู้ที่...สำหรับผู้ที่เขายึดในรูปแบบ หรือยึดในกรรมวิธี หรือว่ายึดในบุญและบาปอย่างยิ่งนี่ ก็จะบอกว่าไม่ดี ห้าม อะไรอย่างนี้
โยม – ลอตเตอรี่นี่นะฮะ
พระอาจารย์ – อือ หรือแม้กระทั่งขายเครื่องศาสตราวุธ ยาพิษ
เหล้า อะไรพวกนี้ ก็จะตำหนิว่าเป็นตัวให้ขัดขวางมรรคผลและนิพพานอย่างยิ่ง
…แต่ถ้าเป็นเรานี่ เราไม่ว่าอะไร
โยม – ทำไมครับ
พระอาจารย์ – ใช้ปัญญา เข้าใจมั้ย ถ้ามีปัญญาแล้วแยกแยะออก...ว่าการกระทำ
เราไม่ได้ขายด้วยเจตนาที่จะให้ใครไปทำร้ายทำลายกัน เพื่อดำรงชีพแค่นั้นเอง
อย่าไปยึดมากเกินไปจนมากังวลเศร้าหมอง
โยม – ถ้าเปลี่ยนได้ก็ดีกว่าใช่ไหมครับ
พระอาจารย์ – ก็ถ้ามันเปลี่ยนได้ก็ดี เราก็ไม่ต้องมาข้อง... เพราะเรายังละสมมุติบัญญัติไม่ได้ ยังละความเห็นของคนในโลกไม่ได้ เรายังออกจากกรอบของความคิดความเห็นของคนไม่ได้ ...มันก็ต้องเศร้าหมองอยู่วันยันค่ำ
โยม – อาจารย์ ถ้าเกิดไม่ขายนี่ ทำอะไรดีครับอาจารย์
พระอาจารย์ – ไม่รู้ ขายไปเถอะ
ไม่มีอะไร ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ขายส่งใช่ไหม หรือไง
โยม – ก็ทั้งปลีกทั้งส่งน่ะครับ
พระอาจารย์ – ทำไปเหอะ ทำไปด้วยรู้ตัวไปด้วย พิจารณาไป
โยม – อาจารย์มีอะไรแนะนำบ้างครับ
พระอาจารย์ – ไม่มีอะไรน่ะ ทำอะไรให้มีสติทุกการกระทำคำพูด ไม่ว่าจะถูก ไม่ว่าจะผิด มีสติเข้าไว้
เข้าใจป่าว ไม่ว่าคนจะว่าไม่ถูก คนเขาจะว่าไม่ดี ทำอะไรก็ทำไปเถอะ
แล้วก็รู้ตัวไว้ในการกระทำนั้นๆ
อยู่กับเนื้อกับตัวไว้ ใครจะว่าถูกใครจะว่าผิดก็รู้ตัวเข้าไว้ ในการกระทำนั้นๆ ...แล้วมันจะเข้าใจเองน่ะ แล้วอย่าไปติดกับคำพูดของคน อย่าไปติดกับความเห็นของคน
โยม – มันจะไม่สุดโต่งไปเองหรือครับ
พระอาจารย์ – ไม่สุดโต่งหรอก ...ถ้าสุดโต่งก็เรียกว่ามันสุดโต่งเข้ามาในองค์มรรคน่ะ
มันไม่ได้สุดโต่งไปตามกระแสโลกน่ะ
ไม่อย่างงั้นมันจะถูกลมปากของมนุษย์นี่ ความเห็นของมนุษย์นี่
พัดปลิวไปซ้าย-ขวาๆ งงไปหมด ไม่รู้กูจะไปทางไหนเลยน่ะ เข้าใจป่าว
เพราะนั้นทำไปเถอะ ตัดสินใจทำไปเถอะ ...ขอให้มันไม่ไปฆ่าคน ขอให้มันไม่ไปทำร้าย...แบบทำให้เกิดการเบียดเบียนโดยตรง โดยทันที
โดยเห็นได้ชัดอย่างนี้ ...ทำไปเหอะ
แล้วก็ทำด้วยความรู้ตัว ...แล้วมันจะเกิดความเข้าใจในการกระทำคำพูดของตัวเอง ว่ามันถูก-มันผิด มันดี-มันร้าย
มันชอบมันควรตรงไหน ...มันไม่ได้อยู่ที่การกระทำ อยู่ที่ใจที่เป็นกลาง มันก็จะข้ามพ้นได้
มันก็ทำไป จนระดับที่มันพออยู่ตัวได้ ในทรัพย์สินเงินทอง มันก็ค่อยๆ เลิกราเพิกถอนกันไปเอง ...อย่าไปคิด อย่าไปกังวลกับคำพูดของคนมาก
ตำรับตำรานี่ก็อีก
โยม – ทำไมอาจารย์ “เซ็น” จังเลยครับ
พระอาจารย์ – คือมันไปยึดจนเป็นการแบกคัมภีร์กันไปหมดแล้ว
โยม – แบกตำราตีกัน
พระอาจารย์ – เออ จนไม่รู้อันไหนถูก-ผิดกันแล้ว
จนไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดกันแล้วเดี๋ยวนี้ อ้างแต่พระธรรม ล้ำลึก ลึกซึ้ง ...ไม่เห็นตัวมันทำได้เลยไอ้คนพูดน่ะ
ตัวมันก็ยังยึดในบุญและบาปอย่างยิ่งอยู่
แค่นั้นน่ะ ไอ้พูดออกมาด้วยความที่ยึดในบุญและบาปอย่างยิ่งนั่นก็ผิดแล้ว ...ยังไม่เข้าใจ ยังไม่แจ้งในความเป็นจริงเลย
โยม – เพื่อเอาบุญใช่ไหมครับ ถ้าจะทำเพื่อเอาบุญ
พระอาจารย์ – ทำบุญเอาหน้า รู้จักรึเปล่า
เพื่อรักษาหน้าตาไว้เท่านั้นเอง ว่าเราเป็นผู้มีบุญ ว่าเราเป็นคนดี ...มันไม่เข้าใจหรอก มันกลายเป็นว่าผิดวัตถุประสงค์ไปหมดเลยน่ะ
เลยเข้าไม่ถึงว่าบุญ-บาปที่แท้จริงคืออะไร
ที่มาของบุญและบาปคืออะไร ที่มาของถูกและผิดคืออะไร มันก็ไปติดๆๆ ติดอยู่กับพวกนี้ ...เจอสกัดจุดหมดน่ะ ทำอะไรไม่ถูกเลย งง มึนตึ้บเหมือนไก่ตาแตก
เพราะนั้นก็ทำไปเหอะ รู้ตัว
ไม่ไปเบียดเบียนกับกันซึ่งหน้าโดยตรงแค่นั้นน่ะ พอแล้ว
ไม่ไปทำร้ายทำลายใครโดยอาวุธ โดยคำพูด ...รักษาศีลในระดับภายนอกแค่นั้นไว้
ส่วนดูเหมือนไปทำร้ายทำลายโดยอ้อมโดยไม่เจตนานี่
ทำไปเถอะ เพื่อเลี้ยงชีพชอบไป ...แล้วก็รู้ตัวไปพร้อมปัญญา มันก็จะค่อยๆ แยกแยะถูกผิดได้เอง
และต่อไปมันจะรู้ว่าอะไรควรเลิก อะไรควรทำ
อะไรไม่ควรทำ อะไรไม่ควรทำอย่างยิ่ง อะไรควรทำอย่างยิ่ง
โยม – (หัวเราะ)
อาจารย์ทำไมไม่บอกผมเลยล่ะครับ
พระอาจารย์ – มันต้องรู้เอง ...ทำไป แล้วก็เรียนรู้ไป รับผลไป...เรียนรู้ไป
แยกแยะไป มันจะต้องเป็นปัญญาของเจ้าของ ...จะมาอาศัยลมหายใจของเราไปหายใจไม่ได้ ใช้ไม่ได้ด้วย มันคนละอันกัน
มันก็ต้องยืนด้วยลมหายใจของตัวเอง ยืนด้วยแข้งขาของตัวเอง นั่นล่ะคือปัญญาของเจ้าของเอง จากชีวิตจริง จากกายจริง จากเหตุการณ์จริง
จากปัจจุบันจริงๆ ...นั่นล่ะ ถึงจะเป็นของแท้
เอ้า พอแล้ว อย่าไปกังวล
...ดี-ไม่ดีมันอาจจะขายไม่หมดแล้วถูกรางวัลที่หนึ่งแจ็กพอต แล้วก็เลยเลิกขายไปเลยก็ได้
ใครจะไปรู้ (หัวเราะกัน)
โยม – สาธุ อาจารย์ดักแน่เลยครับ
......................................