วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/16 (2)


พระอาจารย์
14/16 (570415D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 เมษายน 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 14/16 ช่วง 1

โยม –  แล้วเราจะเขียนใบลา

พระอาจารย์ –  จะเขียนใบลาออกจากโลก แต่ยังเขียนไม่เสร็จ มันแบบ... "เสียดายว่ะ พวกเหล่านี้ แหม ถ้าไปก็คงไม่ได้เจอกันสิ"  เอ้า มึงจะออกมั้ยนี่ 

พอเจ้าหน้าที่เขาเร่งรัดมา มันก็บอกเจ้าหน้าที่ว่า “คือว่าหนูปากกาหมึกหมดค่ะ” เอ้า อ้างข้างๆ คูๆ ไม่กล้าเขียน พอจะจรดปากกา ถึงขั้นสุดท้ายจะลงลายเซ็นนี่ “ฮื้อ ถ้าเซ็นนี่กูไม่กลับมาเกิดในโลกเลยนะ” 

ก็เลยตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจเล่า อยู่อย่างนั้น...บางทีเป็นปี หลายปีนะ ...ซึ่งระหว่างนั้นมันก็มองโดยรอบข้างไปตลอด ก็ยิ่งมองยิ่งไม่น่าอยู่ว่ะโลก อือ ยังไงดีๆ ...มันกว่าจะตัดใจลงชื่อกันได้นี่

แล้วนี่คือแค่ลงชื่อในแบบฟอร์มแรกนะ ...ไม่ใช่แบบฟอร์มสุดท้ายนะ ยังอีกหลายฟอร์ม กว่าจะ...เออ คุณออกจากงานโดยเบ็ดเสร็จแล้ว ออกจากโลกนี้โดยเบ็ดเสร็จแล้ว

แต่นี่พวกเราแค่ยื่นใบสมัครเปล่าๆ ยังเป็นแบบฟอร์มเปล่าๆ อยู่นะ เข้าใจมั้ยว่า มันมีอะไรที่คอยเหนี่ยวรั้งอยู่มาก แล้วเรายังข้องคา แล้วเรายังเสียไม่ได้ ยังตัดไม่ได้ 

มันยังมี something else อยู่...เยอะแยะๆ ... ยังมีทั้ง something right – something wrong กับบุคคลบ้าง กับวัตถุบ้าง แม้แต่อารมณ์ที่จับต้องไม่ได้บ้าง ...ทุกอย่างมันยังมีเงื่อนงำอยู่ในนั้น 

เพราะนั้น...อะไรที่ยังมี ตรงนั้นน่ะจะเป็นตะขอ เกี่ยวเราไว้ ...เมื่อใดที่ไม่มี ตรงนั้นจะไม่มีตะขอ ที่จิตเราจะไปเกาะเกี่ยว


โยม –  แล้วอาจารย์คะ หนูอ่านประวัติบุรพจารย์น่ะ คือก็ไม่ได้อ่านละเอียดน่ะค่ะ แต่ว่าท่านแต่ละองค์นี่ท่านตัดได้ คือท่านบวชมาตั้งนาน

พระอาจารย์ –  แล้วไปมีปัญหาอะไรกับบุรพจารย์ (หัวเราะกัน)


โยม –  คือไปอ่านประวัติบรมครู นี่มันไม่มีอะไรมาติดข้องเลยหรือ

พระอาจารย์ –  บวชกาย - บวชใจ ...บวชกายไม่ได้ บวชใจได้  

ถ้าจะให้สมบูรณ์ บวชทั้งกายและใจ  แต่ถ้าไม่สมบูรณ์ ไม่ได้หมายความว่าบวชใจไม่ได้  แต่ถ้าบวชกายอย่างเดียวแล้วไม่บวชใจ ก็ไม่สมบูรณ์  แต่ถ้าบวชใจถึงไม่ได้บวชกาย...ก็สมบูรณ์ได้

บารมี วาสนา กรรมวิบาก เนกขัมมะบารมี เป็นหนึ่งในบารมี หนึ่งในสิบ เนกขัมมะแปลว่านักบวช บรรพชิต ถือเพศถือพรตพรหมจรรย์ งดการเสพประเวณี เหล่านี้คือเนกขัมมะ

ผู้ที่บำเพ็ญเนกขัมมะมานาน มามากในอดีต จึงส่งผลให้เป็นนักบวชต่อ ส่วนผู้ที่ไม่ได้เข้มข้นในการบำเพ็ญเนกขัมมะธรรม จึงมักจะติดข้องกับบุคคล ชายติดหญิง หญิงติดชาย มันจึงอีรุงตุงนัง

แต่บอกแล้วไง มันเป็นเรื่องภายนอก ซึ่งถึงมันเป็นเรื่องรุงรัง แต่ไม่พอให้ปิดบังมรรคและผล คือการบวชภายในหรอก ...เพราะนั้นต้องประเมินให้ตรงตามสภาพ

ว่าความเป็นจริงในโลก ความเป็นจริงของในอดีตในอนาคตที่ประกอบกระทำตามเหตุและปัจจัยนี่ มันส่งผลอย่างไรต่อสัตว์บุคคลแต่ละท่านแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน

แต่เหตุปัจจัยนี้ถือว่าเป็นเพียงเหตุปัจจัยภายนอก ไม่ได้เป็นตัวขัดขวางปิดบังเหตุปัจจัยภายในขององค์มรรค เพื่อให้เกิดความเข้าไปถึงคำว่าบวชที่แท้จริงคือบวชใจ หรือเป็นเนกขัมมะขั้นสูงสุด ที่เรียกว่าเป็นปรมัตถะ

เพราะนั้นการที่ทำความรู้อยู่ในที่เดียว คือกายเดียว ปัจจุบันกายเดียว โดยที่ไม่ให้จิตออกไปข้องแวะ กับสัตว์บุคคล วัตถุใดเลย จิตดวงนั้นเรียกว่าจิตหนึ่ง จิตเอก จิตดวงเดียว ไม่มีคู่ ไม่มีสอง

จึงเรียกว่าจิตดวงนั้นน่ะถือเป็นเพศพรหมจรรย์ บริสุทธิ์ คำว่าบริสุทธิ์คือพรหมจรรย์ นั่นน่ะคือจิตนักบวชในคราบของนักบ้าน ... เข้าใจรึยัง คำว่า บวชนอก กับ บวชใน

เพราะนั้นการทำความรู้ตัวนี่ก็คือการทำเนกขัมมะ แต่ว่าเป็นการเนกขัมมะภายใน ไม่ใช่เนกขัมมะด้วยการนุ่งขาวนุ่งเหลืองแล้วไปอยู่สันโดษในป่า นั่นคือเนกขัมมะภายนอก ซึ่งอย่างนี้มีเป็นแสนแล้วพระน่ะ

แต่เนกขัมมะภายในนี่นับไม่ได้ หาเป็นตัวเลขแทบไม่ได้น่ะ ...คือหาแทบไม่ค่อยเจอเลย (หัวเราะกัน) ไม่ใช่มีไม่ประมาณ แต่หาไม่ได้ คือส่องหาก็แล้ว เอากล้องจุลทรรศน์ส่องแล้ว มันไปอยู่ไหนกันหมดวะ


โยม –  ไม่ค่อยมี มีแต่น้อยมาก

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ย มันไม่เกี่ยวนะ เดี๋ยวนี้  เป็นพระหรือเป็นฆราวาส กิเลสมาก-น้อยกว่ากันไม่เท่าไหร่หรอก คือเพื่อนกันเลยน่ะ ไม่ได้แตกต่างกันแล้ว

บวชแบบไปเข้านิพพานกอดหมอนอยู่นั่น รู้จักนิพพานกอดหมอนมั้ย ฟี้ๆ หลับพริ้ม นิพพานกอดหมอน นิพพานบนหมอน อยู่ในปางนารายณ์บรรทมสินธุ์ นี่เป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์เลยนะ 

เพราะนั้นน่ะ พูดให้เข้าใจว่าเมื่อเราบวชนอกไม่ได้ มีเครื่องรุงรังมากมาย ...แต่อย่ามาถือว่าเป็นข้อห้ามข้อเว้นในการบวชภายใน 

คือรักษาใจหนึ่งไว้...โดยอาศัยกายหนึ่งนี่มาเป็นคู่ ...อย่าเอากายคนอื่นมาเป็นคู่ ทั้งความคิด ทั้งภายนอก แค่นั้นเอง แล้วก็ดำเนินไป เดี๋ยวก็เข้าถึงความบวชที่แท้จริงของใจ 

ที่ดำรงอยู่ด้วยความเป็นหนึ่ง บริสุทธิ์ และเป็นกลาง ต่อทุกสรรพสิ่ง ไม่ซ้ายไม่ขวา ไม่มากไม่น้อยกว่ากัน กับการปรากฏของธรรมเบื้องหน้า...ทุกธรรมไป

ไปอ่านมาก ก็ฟุ้งมาก ติดมาก กังวลมาก ดูตัวเองต่ำต้อยลงเรื่อยๆ การภาวนายากขึ้นเรื่อยๆ ในความเห็นจะเป็นอย่างนั้น ...นี่เกิดภาวะที่เรียกว่า ไม่ฉลาดในการตื่นและรับรู้

เพราะมันไม่มีปัญญาตีความมาเป็นกลางกับตัวเองได้  มันจะมองเป็นคนอื่นดีกว่า สูงกว่า แล้วเราป่ายปีนเอื้อมกระโจนไปไม่ถึง ...จึงยิ่งอ่านยิ่งท้อถอยในตัวเอง

แรกๆ นี่ศรัทธา แรกๆ มันขยัน แต่พอทำแล้วมันไปเทียบกับท่าน มันดูคนละเรื่องกันเลย นี่คือธรรมส่วนบุคคล ไม่เหมือนกัน แต่ละท่านแต่ละองค์ ท่านบำเพ็ญบารมีมาต่างกัน

เพราะอะไร ท่านถึงมาเป็นนักบวชโดยเต็มรูปแบบ ...เพื่อการสั่งสอนต่อไป เพื่อธำรงมรรค ธำรงศีลสมาธิปัญญา ให้แก่คนโดยทั่วไปเป็นหลัก 

ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของเรา...นักบ้าน...หลุดพ้นพอตัว พูดคุยแต่ในหมู่แวดวง ...แค่นั้นน่ะพอแล้ว ไม่สามารถขจรขจายธรรม

แต่ว่าท่านเหล่านั้น ครูบาอาจารย์เหล่านั้น บรมครูท่านเหล่านั้น ท่านบำเพ็ญบารมีมาเพื่อการนี้ด้วย ...ท่านจึงต้องเป็นเนกขัมมะเต็มรูปแบบ เพื่อประโยชน์ในธรรม

ในการชี้ธรรมกับสัตว์โลก ...เป็นธรรมทายาทสืบทอดอายุพระศาสนา คืออายุของความชัดเจนขององค์มรรค ...ซึ่งอายุพระศาสนา ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเต็มตัวหรอก 

แล้วไม่ใช่มีเงินซะอย่างทำได้หมด สร้างวัดสร้างอะไร อลังการ เดี๋ยวนี้มันก็ยังสร้าง...เอาพระพิฆเนศไปอยู่ในวัด องค์ใหญ่เลย สีชมพู๊ชมพู ตามคุณลักษณะเด๊ะเลย ใหญ่กว่าพระอีก 

ราหูก็ขึ้นแท่น แถมยังมีการปลุกปั้น ชูชก เอามาห้อยคอ แหมมันช่างมีปัญญาล้ำ เต่าอีกยังเงี้ย กิเลน มังกร สร้างกันเข้าไป มีเงินซะอย่างทำได้หมด ถาวรวัตถุ

ไอ้สืบอายุพระศาสนาอย่างงี้ ถ้าพระพุทธเจ้ามาเจออย่างนี้ คงว่า ตายแล้ว นี่ สอนมาได้แค่นี้เองเหรอเนี่ย เดินท่องๆ ไปตามถนนหนทาง หาจิตอริยะสักดวง มันไปไหนกันหมดวะ 

นี่ จุดประสงค์ของการสืบอายุพระศาสนาจริงๆ คือสืบจิตอริยะ สืบพระธรรม คือมรรคผลและนิพพาน เหล่านี้คืองานที่ครูบาอาจารย์ท่านปรารถนาไว้...โดยเต็มรูปแบบ

เพราะนั้นจะไปเลียนแบบท่านไม่ได้ เพราะบารมีเราไม่ได้วางไว้ทางนั้น บารมีแค่หลุดพ้นจำเพาะตัวไป ...ซึ่งคำว่าหลุดพ้นจำเพาะตัวไป เรียกว่าไม่ต้องลงทุนมาก เข้าใจมั้ย

โปรดักชั่นไม่ต้องใหญ่ เป็นพวก independence แบบงานอิสระ แบบหนังไม่มีค่าย เข้าใจมั้ย โปรดักชั่นไม่สูง พอให้มีคนดูล่ะวะ และกูทำเองกูดูเองรู้เรื่อง คนอื่นอาจจะไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร

แต่ไม่ได้นะสำหรับครูบาอาจารย์นี่ โปรดักชั่น นี่ เลิศ อลังการ เรียกว่าพร้อมหมดไม่มีที่ติ งานสร้างนี่ไม่มีที่ติ หาที่ติได้ยาก ไม่รู้จักเลยว่าใช้มุมกล้องหรือเอฟเฟคท์ตรงไหน นี่จริงล้วนๆ เลย

จึงดึงคนได้พะเรอเกวียนเลย อย่างน้อยดึงด้วยโปรดักชั่นไว้ก่อน เข้าใจมั้ย เรียกแขกไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวของจริงค่อยมาทีหลัง ตามมาเองน่ะ ไม่ตามเดี๋ยวก็ยัดให้ ท่านมีทางของท่านเอง

แต่ของพวกเรามันประเภทหนังนอกค่าย คือไม่ได้ทำไปประกวดออสการ์ ลูกโลกทองคำ ปาล์มทอง สิงโตทอง คือดีไม่ดี ทำเองดูเอง รู้เรื่องคนเดียว แล้วก็จบไป แค่นั้นพอแล้ว

ไม่จำเป็นต้องบวชนอก ...แต่บวชในอย่างเดียว รักษากายใจล้วน  นั่นน่ะเนกขัมมะขั้นสูงสุดที่เรียกว่าปรมัตถะ 

หรือมีเวลาก็มานุ่งขาวห่มขาวบ้างเป็นครั้งคราวไป ให้มันดูมียูนิฟอร์มหน่อย ...เข้าใจคำว่ายูนิฟอร์มมั้ย


โยม –  ดูมีพวกหน่อย

พระอาจารย์ –  คือเข้าใจมั้ย คำว่ารูปแบบของการปฏิบัติหรือว่ายูนิฟอร์มนี่ ...เหมือนคนที่เป็นทหารแล้วแต่งเครื่องแบบเต็มยศนี่


โยม –  ดูดี มันเท่ห์

พระอาจารย์ –  ไม่ใช่ดูดีอย่างเดียวนะ ...แต่ระหว่างที่มันแต่งชุดทหารเต็มยศนี่ แล้วมันจะเดินเข้าอาบอบนวดแบบองอาจผ่าเผยมั้ย


โยม –  เข้าไม่ได้ ...อาย

พระอาจารย์ –  เข้าใจแล้วใช่มั้ย ...เพราะนั้นรูปแบบของการปฏิบัตินี่ เหมือนกับเรากำลังอยู่ในยูนิฟอร์มนี้ จิตนี่ที่มันจะไประเหเร่ร่อน หรือปล่อยปละละเลยแบบไร้การควบคุมซะทีเดียวเลยนี่ มันละอายต่อตัวเอง 

นี่มันคล้ายๆ อย่างนั้น จึงเรียกว่าเป็นเครื่องช่วยนอกๆ ซึ่งบางครั้งมันก็จำเป็น การนั่งสมาธิ การเดินจงกรมเป็นกิจวัตร หรือมีเวลาว่างบ้างก็มาอยู่วิเวกในวัดในป่าอย่างนี้ เรียนรู้กายใจของตนเองไป 

มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ มองไปที่ไหนก็มองเห็นแต่อากาศ มันก็เลยเห็นแต่กายใจตัวเองชัดที่สุด เพราะมันไม่เห็นกายคนอื่น นี่ ก็ต้องใช้เวลาอย่างนั้นบ้าง เพื่อให้เกิดความรู้อยู่กับเนื้อกับตัวได้ง่ายขึ้น

แล้วพอหมดเวลาก็ อ่ะ ทีนี้ออกศึก เดี๋ยวเตรียมกลับไปก็ออกศึกล่ะวะ (หัวเราะกัน) ...เตรียมเอาไว้เถอะ ลับมีดให้คมไว้เถอะ ไม่ใช่ชักออกมา...


โยม – (หัวเราะกัน) มีแต่ปลอก

พระอาจารย์ –  คืออย่างเขาว่าคมในฝัก แต่...เอ๊ ไอ้นี่สนิมเต็มฝัก ดีไม่ดี กูชักเองบาดทะยักกินกูเอง

อย่าให้มันเสียท่านักภาวนา ใช่มั้ย ตั้งท่ามาแบบว่า “หนูคมในฝัก ทำเป็นเงียบๆ ขรึมๆ ไว้” เสร็จ มันตายเองน่ะ ...กิเลสมันไม่ตาย เราตายเอง เป็นบาดทะยักตาย บาดตัวเอง

จนมันมีปัญญาขึ้นมา แล้วจะรู้ว่า...ไอ้รูปแบบอะไรนี่ มันก็มีประโยชน์บ้าง ...แต่อย่าไปผูกเอาจริงจัง

เอ้า เอาแล้วเท่านี้  ไป ภาวนากันเยอะๆ รู้ตัวมากๆ


..............................



วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/16 (1)


พระอาจารย์
14/16 (570415D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 เมษายน 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ : แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นการภาวนา...พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ไปหาอะไรที่ไม่จริงมาทำเลย พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ออกนอกความเป็นจริงเลย 

แล้วพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ต้องไปหาความเป็นจริงที่อื่น ความเป็นจริงนี้มีอยู่ในขันธ์ห้าแล้ว ไม่ต้องไปหาขันธ์ห้าที่อื่น ...แค่หยุด หยั่ง ก็รู้ว่าขันธ์ห้าปรากฏอยู่ตรงนี้แล้ว โดยมีกายนี่เป็นตัวรองรับขันธ์ทั้งห้า

ถ้าปรับศรัทธาความเห็นในการปฏิบัติให้เชื่อในความจริงเหล่านี้ แล้วปฏิบัติให้ตรงต่อความเป็นจริงตรงนี้ ตอนนี้ ...รับรอง กิเลสก็กิเลสเถอะ จิตก็จิตเถอะ ...หลอกกันได้ยากหน่อย 

คือกว่าจะกินกูได้นี่ก็ยากหน่อยล่ะวะ ...แต่ก็ยังกินได้อยู่ เข้าใจมั้ย  ไม่ใช่ว่าสุตตมยปัญญา กับจินตามยปัญญาที่คิดว่าเข้าใจแล้วนี่ เป็นยาครอบจักรวาล ...ยังครอบไม่ได้

แต่ถ้าเอาไปทำเป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมาแล้ว คราวนี้ก็มีแต่ว่าเห็นมันหลอกเต้นแร้งเต้นกาไปอย่างนั้น ...นี่คือจะเห็นอาการของจิต เห็นอาการของความคิด เห็นอาการของความอยากต่างๆ นานา

เหมือนกับมันเต้นแร้งเต้นกาให้ดู...แบบไร้สาระ มันเต้นแร้งเต้นกาแบบไร้สาระ แล้วไงล่ะ ทีนี้ไอ้ตัวที่เต้นแร้งเต้นกาจะว่า “กูไม่ได้ทิปเลยหรือเนี่ย ทิปก็ไม่ได้ ค่าจ้างก็ไม่มีเหรอ เหนื่อยว่ะ”

ทีนี้ พอเป็นอย่างนี้ มันก็ยิ่งเห็นเต้นแร้งกาใหญ่ เพื่อเรียกร้อง เร่ง เร้า ทีนี้มันก็จะเต้นแบบสุดฤทธิ์สุดเดช จะเอาล่ะว่า  “ขอทิปหน่อยๆ อย่างน้อยคำชมก็ยังดี”

ก็เฉย เมินเฉยไว้ ...มันก็หมดอาชีพไปเอง ...สังขารความปรุงแต่งในจิตหยุดโดยปริยาย เพราะไม่มีกองเชียร์ ไม่มี “เรา” เป็นคนเชียร์แขก แล้วไม่มีคนตามเข้าไปอุ้มชูสมสู่ เสพข้องกับมัน เข้าใจมั้ย 

มันก็พยายามจะมาคอยเต้นแร้งเต้นกา “เอาหน่อยน่าๆ” อยู่นี่ จนน่ารำคาญ นั่นแหละ คือรู้ตัวแล้วมันก็ยังไม่หมดจากความคิด ขณะที่รู้ตัวนี่ก็ยังไม่หมดจากอารมณ์ที่ตกค้าง เห็นมั้ย น่ารำคาญนะ

ก็ดูมันเฉยๆ อย่าไปหลงคารมมันล่ะ ใจแข็งๆ หน่อย ตั้งมั่นให้ดีหน่อย อดทนหน่อย เดี๋ยวมันก็เหนื่อยไปเอง ...ถ้ามันไม่มีทิปไม่มีรายได้ ไม่มีอะไรไปหล่อเลี้ยง มันก็เสื่อมสลายจากสภาพ...หมดสภาพไป

เพราะอาการความเป็นไปของมันก็คืออุปาทานขันธ์ คือขันธ์ที่สร้างขึ้นมาลอยๆ ขันธ์อดีต ขันธ์อนาคต ความสุขในอดีต ความสุขในอนาคต ...นี่ พวกนี้เป็นอุปาทานหนึ่ง

แต่มันก็ยังไม่ละความพยายามหรอก เข้าใจมั้ย ... กิเลสน้อยใหญ่นี่ มันไม่ใช่ว่าจะละทีเดียวแล้วนี่ เห็นความดับไปสลายไปของจิตของอารมณ์แค่ทีเดียวแล้วนี่ มันจะหายไปแบบเบ็ดเสร็จ

มาอีก เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาอีก ท่ามกลางความที่กำลังรู้ตัวนั่นแหละ ...อย่าไปสงสัย ก็รักษาไว้ ทรงไว้ เข้มข้นกับความรู้ตัวเข้าไว้ วนเวียน ซ้ำซากอยู่ในกองกาย กองอาการของกาย กองความรู้สึกในกายแต่ละส่วนๆ ไว้


โยม –  ก็คือต้องหมั่นภาวนาใช่ไหม

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องหมั่น ...แค่ทุกลมหายใจเข้าออกเอง (โยมหัวเราะกัน) ...ตราบใดที่ยังมีลมหายใจเข้าออก ภาวนาต้องเหมือนลมหายใจเข้าออก


โยม –  มันลืมน่ะค่ะ มันลืม

พระอาจารย์ –  ธรรมดาไอ้ลืมนี่  ก็เป็นสิ่งที่พวกเรา...ต่อไปจะต้องไม่มีคำว่าลืม


โยม –  ทำยังไง

พระอาจารย์ –  ทำบ่อยๆ ตั้งใจมากๆ


โยม –  ...ก็พุทโธๆๆ

พระอาจารย์ –  อย่างงั้นน่ะ ถี่ๆ


โยม –  แล้วพอขึ้นรถมันก็ลืมไปเลย

พระอาจารย์ –  ก็รู้ใหม่ ...มันไม่เห็นมีอะไรมาขัดขวางการรู้ตัวใหม่ได้นะ หือ มีอะไรมาขัดขวางได้มั้ย คนนั่งข้างๆ มาขัดขวางมั้ยว่า “เธอจะมารู้ตัวหรือ ชั้นไม่ให้เธอรู้” (หัวเราะกัน) งั้นใช่มั้ย

อย่าไปเออออให้มัน แค่นั้นเอง ... เพราะนั้นน่ะ หักลำมันซะ ยูเทิร์นๆ ซะเลย ยูเทิร์นตรงนี้ ...อย่าไปยูเทิร์นโค้งหน้า 


โยม –  ก็ไปยูเทิร์นหลายโค้ง มันกลับมายาก

พระอาจารย์ –  ก็นั่นน่ะสิ  อยู่นี่ จะไปยูเทิร์นแม่ริม บ้ารึเปล่า ว่าให้ถึงแม่ริมก่อนค่อยยูเทิร์น เอ้า ไปไกลเลยนะนั่นน่ะ ...ต้องในปัจจุบัน รู้ปุ๊บ ตรงนั้น ปั๊บ 

ต้องตรงนั้นๆๆ อย่าไปว่า...เฮ้ย รอให้รถถึงที่ก่อนค่อยรู้ เข้าใจมั้ย อย่างนั้นไม่ทันแล้ว เรียกว่าปล่อยให้กิเลสความหลงมันยืดยาว ...ต้องให้มันฉับพลันทันตายน่ะ ตายมันทุกปัจจุบันไป 

แล้วก็หล่อเลี้ยงศีลสมาธิปัญญาด้วยความตั้งใจ พากเพียร นี่หล่อเลี้ยงแทน...แทนที่กิเลส  กิเลสมันก็อ่อนตัวลงไปๆ เองน่ะแหละ ...ขอให้ทำไปเถอะ อย่าท้อถอย อย่าภาวนานั่งนับวันเวลานาทีอยู่


โยม –  การที่เรายังใช้ชีวิตทางโลกอยู่ แล้วเรามาภาวนานี่ พอเวลาเราออกไปใช้ชีวิตน่ะ มันจะมีบางอย่างเปลี่ยนไปน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  เปลี่ยนก็เปลี่ยนไป


โยม –  แล้วถ้าเกิดว่ามีคนสังเกตเห็น เราไม่บอก แต่คนที่มีปัญญาเขาก็สังเกตเห็น แต่กว่าเขาจะเห็นก็หลายปี แล้วถ้าเขาเห็นแล้วนี่เขาพูดล่ะว่าไอ้นี่ไปวัดมา

พระอาจารย์ –  แล้วยังไง


โยม –  แบบเขาชอบล้อน่ะ

พระอาจารย์ –  ล้อแล้วทำไม ...จะมาเอาพลาสเตอร์จากเราไปปิดปากมันมั้ย


โยม –  ก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราไปวัดน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  ก็จะเอาพลาสเตอร์ไปปิดปากเขาได้มั้ย มันห้ามเขาได้มั้ยล่ะ แล้วเราไปกังวล อินังขังขอบเกินไปมั้ย  ...นี่ ปัญหามันอยู่ตรงไหน แก้ให้มันถูกที่ดิ 

จะมาขอพลาสเตอร์จากเรารึไง เราไม่ให้ ...มันแก้ไม่ได้


โยม –  คนที่มาถือศีลภาวนานี่ พอกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเก่า มันจะมีพฤติกรรมบางอย่างหายไปน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  ใช่


โยม –  แล้วคนเขาก็จะสังเกต

พระอาจารย์ –  สังเกตก็สังเกตไปสิ ...ก็เราจะลาออกจากโลกแล้ว แบบ “มึงเข้าใจกูบ้างมั้ยเนี่ย กูไม่ได้เป็นคนประเภทเดียว เผ่าพันธุ์เดียวกับมึงแล้ว กูกำลังจะลาออกจากเผ่าพันธุ์มึง”


โยม –  แต่เวลาพอเพื่อนชวนไปทำกิจกรรมอย่างเดิมๆ น่ะ แม้เราจะไป แต่เราก็ไปทำขึงขังไม่ได้

พระอาจารย์ –  เออ ก็เก็บไว้ภายใน ก็ไม่ต้องไปโอ้อวดใครว่า “นี่ กูกินไปยังงั้น กูเที่ยวไปยังงั้นน่ะ”


โยม –  คือเราก็ยังอยากทำพฤติกรรมแบบนั้นอยู่ แต่เราก็ทำไม่ได้

พระอาจารย์ –  เออ คือมันเป็นพฤติกรรม เข้าใจคำว่าพฤติกรรมที่คุ้นเคยมั้ย ...แล้วเรายังติดข้องในพฤติกรรมนั้นอยู่


โยม –  เราก็ได้แต่นั่งดูเพื่อน เราก็อยากไปทำอย่างนั้น แต่เราทำไม่ได้

พระอาจารย์ –  เออ เขาเรียกว่ามันยังอาลัยอาวรณ์ในพฤติกรรมนั้นอยู่ ...ภาวนาไปเหอะ รู้ตัวไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเกิดภาวะที่เรียกว่า...ละลายพฤติกรรม

มันจะเกิดความละลายพฤติกรรมแบบที่เรียกว่า ไม่มีจิตแม้แต่แว้บหนึ่งที่อยากจะไปด้วยความที่ว่าเกรงใจเขา กลัวเขาจะไม่เข้าใจเรา กลัวเขาจะมองเราผิดพลาดไปจากภาพเดิมๆ

เข้าใจคำว่า “ภาพเดิมๆ” มั้ย แล้วเรายังไปอุ้มชู "ภาพเดิมๆ" ...ตีความหมายดิ ปัญญาหยั่งลงไปดิ "ภาพเดิมๆ" คือภาพอะไร ...คือภาพที่ดับไปแล้ว ใช่มั้ย

แล้วยังคิดว่ามันมีอยู่จริงอีกเหรอ แล้วยังไปอุ้มชู เหนี่ยวรั้งหรือประคับประคอง "ภาพเดิมๆ" นี่อ่ะนะ ...มันไม่จริง ...มันไม่มีแล้วไอ้ภาพเดิมๆ นั่นน่ะ

ทุกภาพน่ะ มันไม่มีซะทั้งนั้น...มันไม่มีตั้งแต่ไม่ปฏิบัติธรรม มันไม่มีตั้งแต่ปฏิบัติธรรม มันไม่มีตั้งแต่ที่ยังอีเหละเขละขละอยู่นั่น ...ภาพเดิมๆ จริงๆ มันไม่มี

แต่ด้วยความไม่รู้ไง มันเข้าไปอุ้มชูรักษาภาพเดิมๆ ของ “ตัวเรา” อยู่ ...เห็นมั้ย “เราในอดีต” ยังไม่ทิ้งอีกนะนั่นน่ะ

เหอะ แล้วจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น กระจ่างขึ้นว่า...มันจะไปบ้าบออะไรกับภาพเดิมๆ ซึ่งมันไม่มี ไม่ว่าจะเป็นภาพผู้ปฏิบัติหรือผู้ไม่ปฏิบัติก็ไม่มีทั้งนั้นแหละ 

มันก็...เออ ไม่เดือดร้อน ล้อก็ล้อไป ด่าไป เสียดสีไป ก็ไปเจอแต่ภาพเดิมๆ ไม่โดนเรา


โยม –  แต่เรายังโกรธอยู่...ภาพเดิมๆ แต่ยังโกรธอยู่

พระอาจารย์ –  อือ เพราะมันไปถือเอาภาพเดิมๆ นั้นว่าจริงอยู่ มีอยู่ เที่ยงอยู่ จับต้องได้อยู่ ...มันลมนะนั่นน่ะ ลมนะ ลมๆ แล้งๆ นะนั่นน่ะ ...แต่มันไม่รู้หรอก โดยปัญญาขั้นปุถุชนจะไม่รู้

พอมาภาวนา...เบื้องต้นก็จะค่อยๆ กระจ่างขึ้น ทุกข์กับภาพในอดีต ทุกข์กับการกระทำคำพูดของเราในอดีต ก็จะเริ่มไม่ค่อยเข้าไปแยแสกับมันมากสักเท่าไหร่ 

แต่ก็ยังอดไม่ได้ ...นี่ เขาเรียกว่าพฤติกรรมเดิม หรืออนุสัยสันดาน มันยังติดยังข้องอยู่ มันจึงเกิดภาวะหนึ่ง อารมณ์หนึ่งท่ามกลาง ...สภาวะนี้เรียกว่า...กระอักกระอ่วน 

นี่ มันจะสร้างอารมณ์ปัจจุบันขึ้นมาเป็นกระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดไม่ได้ อธิบายไม่เป็น มันถูกอารมณ์นี้ในปัจจุบันบีบคั้นอยู่ ...แล้วจะแก้ยังไง ...อย่ามาหาพลาสเตอร์กับเรา 

อดทน อดทนอยู่กับเนื้อกับตัวไว้ ตัวนี้คือตัวผลของการที่อดทนรู้ตัวกับปัจจุบัน ...ตัวนี้จึงจะเข้าไปละลายพฤติกรรมเดิม ความเชื่อแบบเดิมๆ ความติดข้องแบบเดิมๆ การกระทำแบบตามธรรมเนียมเดิมๆ

ทีนี้มันก็เกิดความกล้าหาญ อาจหาญ ...จะทำ - จะไม่ทำ จะทำแบบเดิมๆ - จะไม่ทำแบบเดิม  คนเขาจะพูดดี คนเขาจะพูดไม่ดีเมื่อกระทำหรือไม่กระทำอย่างที่เคยมาก่อน ...มันก็เฉย ไม่หวั่นไหว

พอเฉยไปเฉยมาๆ ไอ้คนพูดน่ะแหละจะริ่มหวั่นไหว มันจะเดือดร้อน ...เดี๋ยวมันก็หยุดพูดเองน่ะ แล้วมันก็จะเริ่มเข้ามาพิสูจน์ทราบว่าความเป็นจริงเพราะอะไร

นี่ ต้องเอาตัวเราแสดงอย่างนี้นะ เอาธรรมเข้าไปเป็นเครื่องพิสูจน์นะ ไม่ใช่เอากิเลสไปพิสูจน์เขา ...เอาธรรม เอาศีล เอาสมาธิปัญญา...ที่มีอยู่ ที่ทำอยู่ ที่รักษาอยู่...เป็นเครื่องพิสูจน์

ซึ่งมันจะต้องพิสูจน์เอาเองน่ะ ...คนอื่นถึงเขาไม่พิสูจน์ก็ไม่เดือดร้อน เราก็ก้มหน้างุดๆ ทำหน้าที่การงานภายในของเรา คือการเขียนแบบฟอร์ม...เพื่อจะเซ็นใบลาออกจากโลก

ซึ่งตอนนี้มันยังเขียนแบบฟอร์มไม่เสร็จ ...คือกรอกแบบฟอร์มไม่เสร็จนี่ เจ้าหน้าที่เขาไม่รับ 

แต่ไม่ใช่ไปเขียนใบสมัครงานเดิม...งานการเกิด การใช้ชีวิตในโลก การเกาะเกี่ยวข้องแวะ พบปะสังสรรค์ มีพ่อแม่ ครอบครัว มีเพื่อน มีคนรัก-คนเกลียด มีคนดีคนเลว มีการกระทำที่ต้องรู้ต้องเห็น 

เหล่านี้...นี่คืองานประจำ งานเดิมของพวกเรา


(ต่อแทร็ก 14/16 ช่วง 2)