วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/8



พระอาจารย์
14/8 (570412A)
12 เมษายน 2557



พระอาจารย์ –  ที่สงบ...ที่สงบจิตสงบใจได้ง่าย ที่สงบภายนอกนี่ มันทำให้เกิดความสงบจิตสงบใจได้ง่ายขึ้น หูตามันไม่วอกแวก เพราะมันไม่มีอะไรมาเร้า มันจึงเกิดความสำรวมในศีล สำรวมในจิต สำรวมในกายวาจาใจได้ดีกว่า

จิตที่มันอยู่ในสถานที่แวดล้อมด้วยสัตว์บุคคลน้อย... (ฟังไม่ชัด) มันถือว่าเป็นที่บำเพ็ญ การบำเพ็ญศีลสมาธิปัญญาให้งอกงาม ถ้าไม่มีสถานที่เป็นตัวช่วยบ้าง มันก็เป็นผลให้จิตเรากล่าวอ้างว่า ...หาที่ไม่ได้ ที่ไม่สมควร

ธรรมดา...มันไม่อยู่ด้วยภาวนา ... อยู่ด้วยกิเลส อยู่ด้วยความลุ่มหลง อยู่ด้วยความเผลอเพลิน อยู่ด้วยความที่ว่าเคยชิน อยู่ด้วยความปล่อยแบบซังกะตาย อยู่แบบถูกครอบงำด้วยวัตถุ ด้วยอารมณ์ 

ไอ้การอยู่อย่างนั้นน่ะ มันเป็นการเป็นอยู่ที่มันไม่สามารถจะพ้นจากโรคภัยในวัฏสงสารได้ ...มันมีแต่จะก่อเกิด มีแต่เครื่องฉุดรั้ง มีแต่เครื่องล่อลวง ให้จิตเกิดความลุ่มหลงเพลิดเพลินได้ง่าย

มันง่ายซะจนกลายเป็นความคุ้นเคย กลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นสันดาน กลายเป็นความว่า...ไม่เป็นอะไร กลายเป็นความประมาท 

กลายเป็นความว่า...ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้เถอะ ไม่เป็นไร  เลยตามเลยไปตามอำนาจกิเลสพาไป อำนาจความไม่รู้พาไป พาอยู่ พายืน พาเดิน พากิน พาเที่ยว พาเล่นไปวันๆ

ไม่มีประโยชน์ในองค์มรรค หรือการจะสร้างองค์มรรค รากฐานของมรรคก็เป็นไปได้ยาก เป็นไปด้วยความขาดตกบกพร่อง มันก็เดินได้ด้วยความไม่สม่ำเสมอ เดินได้ด้วยความทุรกันดาร 

เหมือนเอาเมล็ดพืชไปโยนลงกลางทะเลทราย มันก็แห้งเหือด เหมือนกับจิตพวกเราที่รู้เนื้อรู้ตัวได้แค่แป๊บๆ ก็ฝ่อ เหี่ยวตาย เฉาตาย

สิ่งที่ว่าร้อน มันก็คือการพากันไป (ฟังไม่ชัด) ...ก็มีแต่ความเร่าร้อน แผดเผา มีแต่ความอึดอัดคับข้องใจ มีแต่ความหนัก บีบคั้น มีแต่ความมืดมน ไม่รู้จะไปในทิศทางไหน สะเปะสะปะ มะงุมมะงาหรา 

เหมือนคนตาบอดเดินไปในโลกกว้าง แล้วก็วนกลับมาในที่เดิม...ที่มันไม่รู้ว่าเป็นที่เดิม กลับมาในที่เก่าก็ไม่รู้ว่าเป็นที่เก่า ...มันก็เกิดความตายใจว่าเป็นที่ใหม่เสมอ 

ทั้งที่ว่าตามันบอด มันไม่รู้หรอกว่ามันเป็นที่เก่า มันไม่รู้หรอกว่ามันเป็นที่ที่เคยส้อง เคยเสพ เคยมาหลงวกวนเวียนอยู่ในที่นี้มานับไม่ถ้วนแล้ว คือความมืดบอดนั่นมันพาให้หมุนวนไปในโลกนี้โลกหน้า ในโลกต่อๆ ไป

นี่เป็นผู้ที่...ถ้าทางการแพทย์เขาเรียกว่าเป็นผู้บกพร่องทางสติปัญญา เรียกว่าพวก Abnormal ...แต่มันก็เข้าใจว่ามันเป็น normal เพราะคนทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้ 

มันก็เห็นว่าไอ้พวกภาวนานี่ abnormal แกล้งแอ๊บ (ab-) ไปอย่างนั้นน่ะ ...เอ้า เป็นงั้นไป

นี่ ก็เลยต้องมาสร้างแอ๊บกันบ่อยๆ ...แล้วก็พาให้โลกทั้งโลกมันแอ๊บซะ มันจะได้รู้จักว่า normal จริงๆ น่ะ ไม่ใช่อย่างที่มันเข้าใจ 

"ธรรมดา" ของมันน่ะ คือธรรมดาตามอำนาจของกิเลสของเรา ไม่ใช่ธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมดาของธรรมชาติที่แท้จริง ไม่ใช่ธรรมดาของขันธ์ที่แท้จริง ไม่ใช่ธรรมดาของจิตของใจที่แท้จริง

มันก็ไปหมายเอาว่า...เขาเป็นกันอย่างนี้ เราก็เป็นอย่างนี้ ...แค่พูดว่า “เรา” ก็เป็นกันอย่างนี้ทุกคนไป แค่อ้าปากพูดนี่ ก็เห็นถึงสะดือโบ๋กลวงด้วยความบกพร่องทางสติปัญญาสมาธิอย่างยิ่งยวด อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเลย 

มันก็บอกว่า "ก็เรามันเป็นอย่างงี้ จะให้เป็นยังไง" นั่น จบข่าว ไปไม่รอดแล้ว ...และก็ใช้คำกล่าวอ้างนี้มาบั่นทอน ศีล สติ ว่าเป็นของที่เกินความจำเป็นในชีวิตประจำวัน 

ว่าเป็นของที่ยากด้วย เกินด้วย มากเกินไป อย่างนี้ ... “ทำไมการกินน่ะ จะต้องเรื่องมากที่จะต้องคอยรู้คอยสังเกตว่ามันอ้าปาก มันเคี้ยว มันกลืน มันพลิกลิ้น มันบดมันเคี้ยว 

มันอร่อย-ไม่อร่อย มันเค็มมันร้อนมันอ่อนมันแข็ง วิธีการเยอะเหลือเกิน กินๆ ให้มันแล้วไป ก็แล้วไปแล้วก็จบ ไม่เห็นต้องเรื่องมากเลย เนี่ย เกินๆ” ...นี่คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว 

มันไม่รู้หรอกว่า การใช้ชีวิตตามประสามนุษย์ทั่วไป คนทั่วไป ที่มันว่าเป็นธรรมดาๆ นี่ มันล้วนแล้วแต่เกิน...แล้วก็ขาด โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามันเป็นการกระทำที่เกิน...แล้วก็ขาด 

ตลอดตั้งแต่เกิดยันตาย หาความว่าพอดี...ไม่เจอ หาความพอดีไม่ได้ หาได้ก็ยังไม่ใช่ เพราะว่าความพอดีนี่มันหาไม่ได้ในโลกนี้และโลกหน้า และโลกไหนๆ

แต่มันก็ว่าหาได้ความพอดีของมันน่ะ และมันทำได้ แล้วก็มันก็สามารถรักษาได้ในปัจจุบัน เนี่ย ... หามาหลายภพหลายชาติแล้ว เจอก็หลายภพหลายชาติแล้ว แต่ไม่ใช่สักที  

เมื่อชาติที่แล้วๆ มาก็ว่า...ทำติดเนื้อติดตัวมากะว่ารางวัลที่หนึ่งแล้ว ผิดไปได้ ทุกครั้งไปเลย ...ก็ว่าชัวร์ๆ สุดท้ายก็โดนกินรวบ กิเลสกินรวบ ...เกิดใหม่ตายใหม่ๆ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนขันธ์ใหม่

ใจอันเก่า กิเลสตัวเก่า ความหมายมั่นตัวเก่า ความยึดมั่นถือมั่น ราคะโทสะโมหะตัวเก่า ...มันก็เหล้าเก่าในขวดใหม่นั่นแหละ แล้วก็ใช้ชีวิตไปตามประสาอยู่ไปวันๆ 

มันก็ไม่ได้อะไรเป็นประโยชน์ หาอยู่หากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไป ก็ได้แค่ความสุขฉาบทาทางโลกไป หมดวาระก็ตาย ตายแล้วก็หมดวาระก็เกิดใหม่ ...หาที่สิ้นสุดแห่งการเกิดการตายไม่เจอเลย

แต่สำหรับคนที่มีปัญญาในเบื้องต้น ที่จะพอเห็นเค้าลาง ...คือปัญญาเบื้องต้นจะเพียงพอแค่เห็นเค้าลางแห่งการเกิด ว่าไม่น่าสนุก ไม่ค่อยจะสนุก ...แต่มันแค่เห็นเค้าลาง 

คำว่าเห็นแค่เค้าลาง ...ก็หมายความว่า มันยังทำให้การเกิดนี้สิ้นสุดไม่ได้ ทำให้การตายนี้เป็นการตายครั้งสุดท้าย หรือว่าน้อยครั้งลงไม่ได้ ...เนี่ยปัญหามันอยู่ตรงนี้

เพราะนั้นแค่รู้ แค่เข้าใจ แค่พอระงับ นี่เหมือน...เออ การเกิดนี้ถือว่าได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม เขาให้เงินทอนกำไรมา แบบเขาคิดเกินแล้วเขาทอนมา

มันก็ได้มา...บาท สองบาท ดีใจจนเนื้อเต้นว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอันล้ำเลิศ มีปัญญาอันสูงส่งสุดลิบนู่นไป  ...แต่ไหงตายแล้วมาเจอกัน ฮื่อ

มันไม่พอ ...การภาวนาระดับนี้ไม่พอ ความรู้ความเข้าใจระดับนี้ไม่พอ ปัญญาขั้นนี้ไม่พอ ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ...ก็บอกแล้ว มันได้แค่ลางๆ เหมือนเป็นแค่เงาน่ะ 

พอให้ฝันเฟื่องได้บ้าง พอให้ภาวนาพอเป็นพิธีการได้บ้าง ...แต่ไอ้บ้างๆๆๆ นี่ คือเงินทอนในกระปุกออมสิน หมูกระปุก ซื้อที่อยู่อาศัยที่มั่นคงถาวรคือนิพพาน...คงไม่ได้หรอก 

แล้วก็ปลอบใจตัวเอง ปลอบใจหมู่คณะกันเองว่า... “ค่อยๆ ทำไป สะสมไป ทีละเล็กๆ น้อยๆ ก็พอแล้ว นี่ เป็นคนมักน้อยสันโดษในธรรม อาจารย์บอกให้สันโดษไง ก็สันโดษเลย"

แบบศีลก็สันโดษ สมาธิก็สันโดษ ปัญญาก็สันโดษ นี่ไม่ใช่ แบบมีเลือกเอานะว่า เธอไปก่อนนะ ชาติหน้าเจอกันใหม่นะ ...แล้วก็ทยอยๆ ไปทีละคนสองคน 

ไม่ไปไหนหรอก ...การเกิดการตายในโลกไม่มีสุด ไม่มีการเกิดจริง ไม่มีการตายจริง มันแค่เปลี่ยนสภาพ ไอ้ที่ว่าตายแล้วหายไป มันไม่หาย เดี๋ยวมาใหม่ มันแค่เปลี่ยนฟอร์ม...ยูนิฟอร์มอย่างนั้นน่ะ ใครตายจริงๆ

เห็นร้องไห้กันจะเป็นสายเลือดเวลาลูกตายแม่ตาย ...ตายกันที่ไหน เดี๋ยวก็เกิด ...เพียงแต่จำกันไม่ได้ เพราะว่ายูนิฟอร์มมันเปลี่ยน 

เพราะนั้นไม่ต้องไปตื่นเต้นในความตายของคนนั้นคนนี้ กลัวจะไม่ได้เจอกันอีก เอาเหอะ เจอกันแน่ ทั้งเจอในสถานะลูกหนี้-เจ้าหนี้ และคนที่กำลังจะหนีหนี้ แล้วก็คนตามทวงหนี้ ...เจอ ทุกรูปแบบ

ดิ้นรนขวนขวายกันไปเถอะในการมีชีวิตอยู่ ก่อร่างสร้างหนี้ขึ้นไป ก็มีแต่โจทก์เพิ่มขึ้นๆ ด้วยความปล่อยเนื้อปล่อยตัว ปล่อยจิตปล่อยใจไปตามกระแสกิเลสปรุงแต่ง กระแสทะเยอทะยานของอำนาจตัณหา

การภาวนาจึงเป็นตัวแก้ ตัวระงับ ตัวฉุดรั้ง...จิตที่มันคอยแต่จะพาไปเกิด ...แล้วมันไม่ใช่แค่ว่าตายแล้วค่อยพาไปเกิด มันพาไปเกิดตั้งแต่ยังไม่ตายนี่แหละ 

มันออกไปจากนี้ มันออกนอกปัจจุบันนี้ หรือแม้กระทั่งมันอยู่ในปัจจุบันนี้ มันก็สร้างสภาวะเกิดอยู่ตลอดเวลา ...ถ้ามันออกจากนี้ไป มันก็ไปเกิดตรงนั้น ไปเกิดตรงโน้น ไปเกิดกับสิ่งนั้น ไปเกิดกับสิ่งนี้ 

ทั้งที่มีวิญญาณครอง เรียกว่ากามวัตถุ กามธาตุ วัตถุธาตุ บ้างก็เป็นเกิดกับสัตว์บุคคลที่มีวิญญาณครอง ก็ไปเกิดเป็นกามกิเลสกับสัตว์และบุคคล

เมื่อไปเกิดแล้วก็ไปเสวย ไปมีไปเป็น ไปจับไปจอง ไปครอบไปครอง ไปเหนี่ยวไปรั้ง ไปผลักไปดัน ไปประคับประคอง ไปโหยหาอาวรณ์อาลัย ...เกิดตลอดเวลา

ยังไม่ต้องว่าตายแล้วค่อยไปได้รูปลักษณ์ใหม่เรียกว่าเกิดใหม่หรอก ...มันเกิดตั้งแต่ยังไม่ทันตายนี่แหละ จนนับไม่ทัน ใส่คะแนนได้ไม่ยั้งเลย มีแต่การพอกพูนทวีคูณแห่งการเกิด จดแต้มไม่ทัน

กว่าจะตั้งหน้าตั้งตา กว่าจะศรัทธาตั้งมั่นในการที่จะคอยจับ คอยจดแต้ม คอยดูคอยจับให้ได้ไล่ให้ทัน  ...อายุก็ผ่านมาจนใกล้จะตายแล้ว 

พอเริ่มลงมือปฏิบัติก็ว่า... “ยากเหลือเกิน ไม่คุ้นเคยเลย ไม่ถูกจริต ไม่ถูกนิสัยอีกต่างหาก  ครูบาอาจารย์ก็หายาก ไกล เอาเหอะ ปล่อยๆ ไปก่อน” ...นี่ โอนอ่อนผ่อนตามกิเลสอยู่เสมอ 

ทำไมถึงไม่แข็งข้อกับมัน ทำไมถึงไม่ฝึกต้านทานมัน ...มันคือจิต มันคือ “เรา” 

มีกำลังน้อยก็ทำน้อย มีกำลังมากก็ทำมาก ไม่มีกำลังก็ฝึกให้มันมีกำลัง ...นี่คือเงื่อนไขของการปฏิบัติ ...ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติแบบรับโล่ห์รับเข็ม หรือไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อน้อยเนื้อต่ำใจ 

แต่ปฏิบัติธรรมสมควรตามธรรม สมควรแก่ธรรม แต่ไม่ทิ้งการปฏิบัติธรรม ...หัวใจหลักคือไม่ทิ้งการปฏิบัติอยู่ สร้าง ทำ เจริญ ตลอดเวลา  

เพราะกิเลสความปรุงแต่งของจิต ความทะเยอทะยานของจิต ความดิ้นรนกระวนกระวายของจิต ไม่มีเวลาหยุดหย่อน ไม่มีเวลาพักผ่อน

ตราบใดที่การปฏิบัติของเรายังมีเวลาพัก ตราบใดที่การปฏิบัติยังมีการรอรั้ง ขณะนั้นเวลานั้นน่ะ เป็นเวลาที่กิเลสมันทำแต้ม ความปรุงแต่งทำงานแบบไม่หยุดยั้ง

อย่าคิดแค่ว่า ไม่มีความคิดแล้ว ไม่เห็นมีความคิดแล้ว หยุดได้แล้ว ...การเกิดของจิตยังไม่หยุด ยังมีจิตส่วนละเอียด อารมณ์ส่วนละเอียด ความทะยานภายในส่วนละเอียด ความหมายมั่นส่วนละเอียดยังทำงานตลอด

ตราบใดที่ยังไม่เจริญซึ่งศีล...จนถึงสมาธิ เจริญรักษาสมาธิ...จนถึงปัญญา ... เจริญศีลสมาธิปัญญาสมดุล เข้าไปหักล้างกับความมีความเป็นของกิเลสภายในคือความไม่รู้


(ต่อแทร็ก 14/9)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น