วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/6



พระอาจารย์
14/6 (570407F)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
7 เมษายน 2557


พระอาจารย์ –  งานของเรา งานของจิตเรา...ที่มันออกไปเบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนสัตว์บุคคลอื่น เบียดเบียนตัวเราข้างหน้าข้างหลัง เบียดเบียนวัตถุข้าวของ ...งานนี้เป็นงานที่ไม่ชอบ

งานนี้ท่านเรียกว่ามิจฉาอาชีโว งานนี้เป็นงานที่ละเมิดล่วงเกินศีล...ทั้งภายในและภายนอก  ศีลภายในคือกาย ศีลภายนอกคือศีลวิรัติ ...มันล่วงเกินหมด

แต่ถ้ารักษา...แล้วให้มันทำงานอยู่ภายใน แล้วก็รักษาศีลภายในคือศีลกายนี่  ...ศีลภายนอกมันก็ไม่ไปละเมิด 

ถึงจะพลาด ถึงจะเผลอทำไปโดยคล้ายกับการละเมิดศีลภายนอก ก็ทำไปด้วยการไม่มีเจตนาของเรา ...มันก็ไม่ได้รับผลอะไรมากมายเกินไป

เพราะว่ามันดำรงคงอยู่ด้วยการไม่เบียดเบียน...คือรักษาศีลภายในกาย ไม่มีจิตออกไปเบียดเบียนด้วยเจตนา...ทั้งดี ทั้งไม่ดี ทั้งกุศล ทั้งอกุศล

เพียรเพ่งรักษากาย รักษารู้ รักษาจิตอยู่ภายในอย่างเนี้ย จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่ประพฤติดีปฏิบัติดี  ดำรงคงความเป็นผู้ประพฤติดีปฏิบัติดีอยู่เสมอ เป็นนิจศีล เป็นอารมณ์ เป็นกิจวัตร

นี่เรียกว่าเป็นการปลูกฝังความดีภายใน โดยแทบจะไม่ต้องลงทุนจับจ่ายซื้อหามาในสิ่งซึ่งเป็นอุปกรณ์ ...แต่มันต้องลงแรง ...ลงแรงฝืดฝืน อดทน ศรัทธา พากเพียร รักษา ต่อเนื่อง

ต้องลงแรงอย่างนี้ ลงแรงลงมือปฏิบัติ ...เพราะไม่มีอะไรหรอกที่มันจะได้มาแบบลอยๆ ไม่มีอะไรที่มันจะได้มาแบบไม่มีเหตุไม่มีผลรองรับ  ไม่มีอะไรหรอกที่จะเกิดขึ้นได้แบบนึกเอาฝันเอา คาดเอา อยากเอา

แม้กระทั่งศีลสมาธิปัญญาก็ตาม ทั้งๆ ที่ว่าเป็นของที่มีอยู่แล้วก็ตาม อย่างที่บอกว่าเข็มมี อุปกรณ์มีพร้อม ครบแล้ว ...มันไม่ใช่ไม่มีนะ ศีลสมาธิภายใน...มันมี

แต่ถ้าไม่ลงแรงทำ ไม่ลงแรงรักษา ลงแรงขุดค้น ลงแรงไขว่คว้า ลงแรงขวนขวายเข้าไปนี่ ...มีศีลก็เหมือนไม่มีศีล มีสมาธิก็เหมือนไม่มีสมาธิ มีปัญญาก็เหมือนไม่มีปัญญา มันเป็นอย่างนั้น

มีขันธ์แสดงความเป็นจริงก็กลายเป็นขันธ์หลอก  มีจิต มีใจ มีผู้รู้ มีผู้เห็น ก็กลายเป็นจิตที่คิดที่หา ที่มีอารมณ์ ที่มีความรู้สึกเป็นเราเป็นของเรา 

มันผิดพลาดคลาดเคลื่อน ผิดขบวนการความเป็นจริงไปหมด แบบพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า

ขันธ์ตามความเป็นจริงก็มี ไม่ใช่ไม่มี  แต่มันผิดพลาด คลาดเคลื่อนไปหมดเลย ด้วยอำนาจของอวิชชาที่มันมาเป็นตัวบงการจิต เป็นตัวสั่งการให้จิตไปทำอะไรที่มันละเมิดล่วงเกินศีลสมาธิปัญญาออกไป 

จึงเกิดแต่ความดิ้นรน ไขว่คว้า อาวรณ์ ห่วงหา เป็นสุข เป็นทุกข์ อึดอัด เดือดเนื้อร้อนใจ คับข้อง ... นี่ เป็นอยู่ทุกคน แต่ทุกคนไม่รู้ว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร

ความรู้ในระดับปุถุจิตปุถุชนธรรมดา ก็คิดว่าเป็นเรื่องของมัน ไม่ต้องไปยุ่งค้นหาอะไรมันหรอก ทุกคนก็เป็นอย่างนี้แหละ นี่ เพราะไอ้ความรู้ความเห็นปัญญาระดับนี้ มันจึงสภาวะที่เรียกว่าละเลย ประมาท

ไม่เจริญภาวนา เพื่อค้นและหาต้นตอสาเหตุว่า อยู่ดีๆ มันจะเกิดลักษณะอาการอย่างนี้ ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากขันธ์อย่างนี้ได้อย่างไร อะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นต้นเหตุ มันต้องมีที่มาที่ไป

ทำไมถึงต้องภาวนา ...ทำไมถึงต้องมาคอยบอกคอยสอนว่าให้ขยันภาวนากัน 

เพื่อเตือน เพื่อชี้นำให้เห็นว่า...การปล่อยให้ขันธ์เขาแสดงความเป็นจริงไปเจ็ดสิบแปดสิบปี แล้วก็แก่ดับตายไป แบบเปล่าๆ ปลี้ๆ นี่ ...มันเสียเวลาโดยใช่เหตุนะ

มันหมดอายุขัย มันหมดอายุขันธ์โดยเปล่าประโยชน์นะ ...แทนที่จะกอบโกยผลประโยชน์จากการเกิดมาครั้งนี้ กับขันธ์ห้านี้  แทนที่จะอาศัยขันธ์ห้านี้ กายนี้ เป็นแหล่งความรู้  

สร้างภูมิปัญญา ปรับพื้นฐานความเห็นให้ตรงให้ชัดต่อสภาพขันธ์ตามจริง ต่อสภาพกายตามจริง ต่อสภาพอายตนะผัสสะตามจริง ต่อสภาพจิตเวทนาธรรมตามจริง ต่อสภาพสรรพสิ่งสามโลกตามจริง

กลับปล่อยให้ขันธ์นี่เสื่อมดับแก่ตายไปโดยไร้ค่าเปล่าประโยชน์ ...หรือแม้กระทั่งมาตั้งใจภาวนาก็ยังไปหยิบยกธรรมนั้น ธรรมนี้ ธรรมโน้น มาเป็นที่ระลึกรู้ กำหนดรู้ หาความรู้

มันก็ไม่ใช่ที่แห่งธรรม มันก็ไม่ใช่แหล่งธรรม มันก็ไม่ใช่แหล่งความรู้ที่แท้จริง มันเป็นความรู้ที่...รู้ไป สองไพเบี้ย นิ่งเสีย ตำลึงทอง เห็นมั้ย นิ่งกลับได้ตั้งหนึ่งตำลึง รู้ไปก็แค่สองไพ

มันค่าต่างกันเยอะ ...รู้นิ่งๆ รู้เฉยๆ รู้กับสิ่งที่มันนิ่ง รู้กับสิ่งที่มันไม่มีภาษาไม่มีความเห็นไม่มีคำพูดนั่นน่ะ จะได้หนึ่งตำลึง นี่แหละความรู้ที่แท้จริง

ที่ตั้งแห่งธรรม พื้นฐานแห่งธรรม พื้นฐานแห่งความเป็นจริง รากเหง้าแห่งความเป็นจริง แก่นแท้ของความเป็นจริง แก่นแท้ของธรรม อยู่ที่ตรงที่นิ่งๆ ตรงนิ่งน่ะ แล้วก็อยู่กับการรู้เห็นนิ่งๆ อย่างนี้นี่

ยิ่งภาวนาตรงต่อมรรค ตรงต่อศีล ตรงต่อกาย ตรงต่อใจเข้าไปเรื่อยๆ นี่ ...ยิ่งภาวนายิ่งเงียบลง 

ยิ่งภาวนาไปยิ่งภาวนาไปเรื่อยๆ ลึกเข้าไปในจิต ลึกเข้าไปในกาย ลึกเข้าไปในขันธ์เรื่อยๆ นี่ ยิ่งหมดคำพูดไปเรื่อยๆ ยิ่งหมดบัญญัติ ยิ่งหมดภาษาไปเรื่อยๆ

นั่นน่ะๆ มันกำลังเข้าไปเรียนภาษาต่างดาว มันเป็นความรู้นอกบัญญัติ มันเป็นความรู้นอกภาษา มันเป็นความรู้นอกสิ่งที่โลกนี่จะเอื้อมมือไปถึง 

มันเป็นความรู้ที่หาไม่ได้ในคน ปุถุชน ...มันเป็นภาษาพิเศษสำหรับอริยจิตอริยบุคคล

ทำได้ ทำถึง ได้ทุกคน แต่ไม่ทำ ...ไอ้ที่ไม่ได้ไม่ถึง ไม่ใช่เพราะอะไรนะ เพราะไม่ทำ ไม่ใช่เพราะวาสนาต่ำ ไม่ใช่เพราะบารมีน้อย ไม่ใช่เพราะติดที่เพศ ไม่ใช่เพราะติดที่สถานะอายุ...ไม่ใช่

ที่ไม่ได้ ที่ไม่เข้าใจ ที่ไม่ถึง ...เพราะไม่ทำ เพราะขี้เกียจ เพราะประมาท เพราะปล่อยปละละเลย เนี่ย คือจุดบกพร่องของนักปฏิบัติแต่ชื่อ ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติจริง

เพราะนั้นนักปฏิบัติแต่ชื่อ...มีเป็นแสน ผู้ปฏิบัติจริง...มีอยู่หลักสิบ ซึ่งในผู้ปฏิบัติจริงแล้วก็ตามนี่ ถ้าไม่จริงอย่างจริงจังยิ่งยวด...เหมือนกับขนวัวกับเขาวัว อริยจิตอริยบุคคลเหมือนเขาวัว ผู้ปฏิบัติเหมือนขนวัว

มันจะต้องเข้มขึ้น...งวดขึ้น เข้มขึ้น...งวดขึ้น เพียรขึ้น  มีแต่ศีลสมาธิปัญญานี่มากขึ้นๆๆ จนเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ศีลคือศีลอย่างเต็มเปี่ยม กายเต็มกายเลย เต็มทุกปัจจุบันกายเลย 

ใจก็เต็มอยู่ด้วยรู้ ไม่มีจิตนึกคิดปรุงแต่ง อดีตอนาคตสอดแทรก อารมณ์ ธรรมารมณ์น้อยใหญ่ หยาบละเอียด ไม่มีอะไรสอดแทรก เต็มด้วยสมาธิ

ศีลเต็มสมาธิเต็ม ปัญญานี่มันเหมือนกับตาเสือน่ะ ตาเสือที่มันจ้องตะปบเหยื่อ ตานี่แวววาวสุกใสสกาว อะไรขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวพุ่บพั่บๆ นี่มันจ้อง

ตานี่ ตาญาณนี่ ยิ่งกว่าเสือ กิเลสผุดโผล่มานี่ ออกจากจิตรูไหนช่องไหน ขึ้นบนลงล่าง ออกมาจากล่าง ออกมาทางบน ออกมาข้างๆ ออกมาแบบเนียนๆ มันจับได้ทันหมด ...นั่นน่ะปัญญาเต็ม

กิเลสมันจะหาที่อยู่ได้มั้ย กิเลสมันจะหลบซ่อนอยู่ที่ไหนได้มั้ย 

ความไม่รู้มันจะไปแอบอยู่ตรงไหนมั้ย มันจะพาจิตไปเกิดไปตายเป็นเราเป็นเขาอยู่ตรงไหนได้มั้ย  มันจะไปจองไปจับ ไปถือไปครอง ไปหมายไปมั่นตรงไหนได้มั้ย ...ไม่มีทาง

ตาปัญญา ตาเหมือนเสือที่กระหายต่อกิเลส ที่มันผุดโผล่หรือไปจับจองครอบครองอะไร ส่วนใด องค์ประกอบใด ลักษณะใดในกองขันธ์กองโลก ...ไม่มีทางได้ไป

กิเลสน่ะมันหดหัวหดตัวลงไปจนแทบจะหาที่อยู่ไม่ได้ ...เมื่อมันหาที่อยู่ไม่ได้ ตัวญาณตัวตาปัญญา ตัวทัสสนะยังไม่หยุดเลยนะ มันเข้าไปเปิดๆๆ ว่ามันจะหลบอยู่ตรงไหน

เปิดด้วยความรู้เห็น เปิดด้วยความแจ้งชัด เปิดด้วยความกระจ่าง เปิดๆๆ ในกองขันธ์ เปิดๆๆ ในกองโลก ดูซิมันไปแอบหลบอยู่ตรงซอกไหน มุมไหน หลืบไหน เงาไหนบ้างน่ะ

จนไม่มีเงา จนไม่มีช่อง ไม่มีหลืบที่ให้กิเลสซุก ...ก็อยู่ด้วยความสว่างขันธ์สว่างโลก โลกวิทูอยู่อย่างนั้น แจ้งโลกแจ้งขันธ์อยู่อย่างนั้น ...มันสว่าง 

ไม่มีหลืบเงาให้หลบซ่อนของกิเลส แม้แต่กองใด ส่วนใด อณูใด ความไม่รู้ใด หรือมีเราตรงไหน ...นี่ พลานุภาพของศีลสมาธิปัญญานี่ ไม่มีประมาณ

ไอ้ตอนแรกนี่ ...เราบอกใช่ไหม กิเลสของปุถุชนนี่มันหนาแน่น กำลังมันสุดขอบฟ้าอนันตาจักรวาล มันทะลุทะลวงไปครอบไปครองไปถึงได้หมด

แต่พอเจอพลานุภาพของมหาสติ มหาศีล มหาสมาธิ มหาปัญญา ...กิเลสที่ว่ามีใหญ่เป็นใหญ่ หรือว่ามีกำลังมีพลังมหาศาลฉุดลากถูไปมาได้ดั่งใจนึกนี่ ...มันไปไม่ได้น่ะ ไปไม่เป็นเลยน่ะ 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว มันเห็นอย่างนี้จริงๆ ...แต่พวกเรายังไม่เชื่อ เพราะยังไม่เห็นอานุภาพของศีลสมาธิปัญญาที่เป็นมรรคสมังคี 

มันสมดุลระหว่างศีลสมาธิปัญญาแบบเหมือนกลมเกลียวประสาน...เหมือนกับสามเกลอหัวแข็งที่สมัครสมานสามัคคีตีทุกค่ายทุกแนวรบ โดยที่ไม่พรากจากกันเลย

พลังของศีลสมาธิปัญญาที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ที่ใจ สมานสามัคคีจนเป็นมรรคสมังคีอยู่ภายใน ในใจ ดวงจิตดวงใจผู้รู้ผู้เห็นนั้นน่ะ แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นศีล อันไหนเป็นสมาธิ อันไหนเป็นปัญญา 

มันเป็นก้อนเดียวรวมกัน แยกกันไม่ออก นี่ ศีลสมาธิปัญญารวมเป็นหนึ่ง ...กิเลสมันมุดไม่มีที่จะมุดน่ะ 

ตอนแรกมุดได้ออกได้ แต่เดี๋ยวมันเปิดหมดๆๆ เปิดฟ้าเปิดดินเปิดขันธ์เปิดโลก เปิดสามโลก เปิดจนไม่มีอะไรปิดบังน่ะ นั่นแหละเปิดเผยที่อยู่ที่อาศัย แหล่งอยู่แหล่งอาศัยของกิเลส จนไม่มีที่ให้มันอยู่อาศัย

ไม่ต้องกลัวการเกิดการตายแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะมีที่เกิดที่ตายไหนแล้ว ...พอวางใจได้แล้ว ถ้าถึงระดับนั้นหนา

อย่าคิดว่ายาก อย่าคิดว่าทำไม่ได้ ...แค่คิดก็ผิดแล้ว 

เห็นมั้ย แค่คิดก็ผิดแล้ว ...มันผิดตั้งแต่คิด ไม่ใช่ว่าคิดแล้วจะไม่ได้  มันผิดซะตั้งแต่เริ่มคิด กำลังคิดแล้ว ...ถ้าผู้ปฏิบัติจริงนี่ มันจะเห็นความผิดเริ่มผิดตั้งแต่คิดแล้ว ไม่ใช่คิดจนสำเร็จแล้วว่า...อ๋อ มันผิด ...ไม่ใช่

นีี่ ฝึกศีลสมาธิปัญญาภายใน จนมันเกิดความเท่าทันทุกขณะจิตอย่างนี้


(ต่อแทร็ก 14/7)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น