วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/10


พระอาจารย์
14/10 (570412C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
12 เมษายน 2557


พระอาจารย์ –  อัดกันเข้าไป มันก็เต็มอยู่แต่ในซีดีน่ะ มันไม่เต็มที่ใจนี่หรอก

เพราะนั้นการภาวนาจริงๆ มันไม่ได้อยู่แค่ฟังหรือคิด มันอยู่ที่ทำ...ทำศีลให้เกิด ทำศีลให้ปรากฏ ทำศีลให้อยู่ ...นี่ เบื้องต้นที่จะต้องทำก่อน

และต้องรู้ก่อนว่า...ที่หมายที่มั่นของศีลที่แท้จริงคืออะไร ศีลที่ไม่จริงคืออะไร  ศีลสมมุติคืออะไร ศีลบัญญัติคืออะไร ศีลวิรัติคืออะไร และศีลสมาธิปัญญาคืออะไร 

สัมมาศีลอยู่ที่ไหน ศีลอะไรเป็นเหตุให้เกิดมรรค ศีลอะไรเป็นองค์ประกอบในตัวมรรค แล้วศีลจะต้องมีกี่ข้อ ศีลพระอริยะกี่ข้อ ศีลปุถุชนกี่ข้อ ...เราแจ้งในเรื่องของศีลรึยัง เราทำศีลให้ปรากฏในเบื้องต้นรึยัง

เหมือนเราจะพิมพ์แบงค์ ถ้าไม่มีกระดาษหรือเลือกเนื้อกระดาษไม่ถูกนี่ จับดูก็รู้ว่าปลอม ถึงลายเส้นจะตรงเป๊ะ แม่แบบแม่พิมพ์เดียวกันเด๊ะ...ก็ปลอม บอกให้ว่าปลอม 

ใช้ไม่ได้ ...ก็ยังใช้ไม่ได้ ดูเหมือนน่าจะใช้ได้ ก็ยังใช้ไม่ได้ เพราะมันไม่จริง ...แม้ว่าจะทำให้เหมือนลายเส้นทุกกระเบียดเลย เรียกว่าแกะมาพิมพ์เดียวกัน ...ก็ไม่จริง

สำคัญไหม...ศีลนี่ กายนี่เป็นที่รวมของกองขันธ์ ขันธ์จึงมีอยู่ได้ ในขันธ์ห้านี่ ถ้าไม่มีกาย มันทรงสภาพขันธ์ห้าไม่ได้ โดยเนื้อตัวของมันเป็นที่รองรับของขันธ์ห้า เป็นที่ชุมนุมรวมกันของขันธ์ห้าทั้งหมดแล้ว

เพราะนั้น ทิ้งกายเมื่อไหร่ ออกนอกกายเมื่อไหร่ ...เหมือนกับทิ้งขันธ์ห้า เหมือนกับออกนอกขันธ์ห้า เหมือนกับออกนอกขันธ์ปัจจุบัน เหมือนออกนอกปัจจุบันธรรม 

ถ้าไม่เข้าใจนัยยะของศีลนะ มันจะเกิดความเมินเฉยต่อศีล มันจะเกิดความละเลยต่อศีล มันจึงเกิดความที่เรียกว่าประมาทในศีล โดยที่ไม่ได้ตั้งใจเลย ...แต่มันคลาดเคลื่อนจากองค์มรรคโดยตลอดเลย

เพราะนั้นจุดตั้งต้นนี่...คือกาย ท่ามกลางก็อยู่บนกาย ที่สุดก็อยู่กับกาย บอกให้เลย มรรคนี่...หนีกายไม่ได้เลย ...แต่ความเห็นในกายเนี้ย มันจะเปลี่ยนสภาพไปด้วยการรู้และการเห็นคือปัญญาในแต่ละระดับ

ในระดับหนึ่งๆๆ ความรู้ความเห็นในกายนี้จะเปลี่ยนไป ไม่ใช่อย่างที่เคยเห็นเคยรักษา ไม่ใช่อย่างที่เคยจดเคยจ่ออยู่ ...เพราะนั้นในศีลของพระอริยะ...อริยะศีลที่เรียกว่ากายนี่ จึงเปลี่ยนแปลงไปตามภูมิธรรม ภูมิจิต ภูมิปัญญา  

แม้ว่าโดยความเป็นจริงแล้ว ยังอ้างอิงอยู่บนพื้นฐานกายสมมุติกายบัญญัติอยู่ เป็นตัวอ้างอิงเดียวกัน ยังเป็นตัวอ้างอิงเดียวกัน ...แต่ความเป็นจริงที่ท่านเห็นน่ะ เห็นไม่เหมือนกับที่เคยเห็นไปตามลำดับแล้ว 

จนตลอด จนสิ้นสุดในองค์มรรค ตลอดแห่งการดำเนินอยู่ในวิถีแห่งการปฏิบัติที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา หรือว่าทางสายกลางนี่ ...จะขาดแม้แต่ตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้เลยคือ...ศีล สมาธิ ปัญญา

แล้วสิ่งที่ผู้ปฏิบัติสมัยปัจจุบันนี้ขาดกันมากเลยคือเรื่องของกาย...การรู้ตัว การอยู่กับตัว การจดจ่ออยู่กับความเป็นไปของกายปัจจุบัน ...เรามองข้ามกันมาก เราไม่ให้ความสำคัญกับส่วนนี้ในกองขันธ์กัน

เพราะอะไร หนึ่ง...มันดูหยาบ สอง...มันเป็นอะไรง่ายๆ ที่มันไม่ต้องลงทุนลงแรง ...มันเลยเข้าใจเอาเองตามประสาว่า อะไรที่ได้มาง่ายๆ เห็นแบบง่ายๆ นี่ ผลจะไม่ใช่ผลอันดี อันเลิศ หรืออันประเสริฐสุด

นักภาวนาเหล่านี้จึงเป็นนักภาวนาประเภทหกคะเมนตีลังกา  พูดง่ายๆ คือทำตัวให้ยากไว้ หาทางภาวนาให้มันยากๆ เข้าไว้ แล้วผลที่ได้...อันได้มาอย่างยากนั่นแหละมันก็คือ... “แบงค์กาโม่ของกู” 

แต่พอเอาแบงค์กาโม่ไปใช้ ...ไหงเป็นทุกข์ล่ะ ไหงยังมีทุกข์ของเราอยู่ล่ะ ไหงยังมีเขาคนนั้นคนนี้มาทำให้เราทุกข์อยู่ได้ล่ะ อย่างเงี้ย ยังไม่รู้จักอีกว่าของปลอม

เพราะนั้นมากี่ครั้งกี่คราว จะมาซ้ำแล้วซ้ำเล่ากี่คราว เราก็จะชี้ชัดอยู่อย่างนี้ว่า...ศีลอยู่ไหน สมาธิคืออะไร ปัญญาคืออะไร อยู่อย่างนี้  จนกว่าทุกคนนี่ จะเกิดความเชื่อแบบฝังหัว 

คือไม่ใช่เชื่อโดยศรัทธาจริงๆ แรกๆ นี่ แต่มันเชื่อโดยการถูกฝังหัวก่อน เรียกว่าเป็นความเชื่อที่เกิดจากสุตตะและจินตา ที่เป็นสัมมา ...มันฝังหัวจนต้องว่า...เอ้า เอาซะหน่อย ทำตามท่านว่าซะหน่อย

เพราะนั้นการตอกย้ำบ่อยๆ นี่ มันทำให้เกิดความเชื่อไปทีละเล็กละน้อย เห็นดีเห็นงามไปพร้อมกัน ...แล้วอาศัยกำลังศรัทธาตัวนี้ เรียกว่าเป็นศรัทธาเบื้องต้นในองค์มรรคนี่ ค่อยๆ พาดำเนินไปในการปฏิบัติ 

โดยใช้สติ สร้างสติขึ้น ...สติน่ะ ถ้าไม่สร้างมันไม่เกิดมาเองหรอก มันไม่เจริญ มันไม่มา ...มันไม่เรียก มันไม่หา มันไม่ทำ มันไม่เกิดขึ้น สติน่ะ ...ท่านถึงเรียกว่าการทำงานในองค์มรรค 

ถ้าไม่ทำน่ะมันไม่มีมรรค ถ้าไม่ทำน่ะมันไม่เดินในมรรค เพราะนั้นสติก็ต้องการเจริญขึ้น...เจริญขึ้น 

ทีนี้สติแปลว่าการระลึกรู้ แล้วมันมีที่ให้รู้ตั้งเยอะ สิ่งต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน ...เพราะนั้นพระพุทธเจ้าท่านถึงจำกัดไงว่าให้เป็นสติที่เรียกว่าเป็นสัมมาสติ ที่จะเป็นเหตุให้เกิดสัมมาสติ 

สัมมาสติ คือเป็นสติที่ทำให้เกิดสมาธิปัญญาต่อไป ซึ่งมันต้องระลึกรู้จำเพาะอยู่ในสี่ประการ...ที่ท่านเรียกว่ามหาสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม

เพราะอะไร ...เพราะว่าสิ่งที่สตินี่สามารถจะไประลึกแล้วไปรู้อยู่กับมันได้นี่ ท่านว่ามากมายนับเป็นอนันตาจักรวาล และก็สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในอนันตาจักรวาล ซึ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า...มันเกิน

แล้วมันไม่ใช่เป็นเหตุที่ว่า...เมื่อเอาสติไปตั้งแล้วมันจะเกิดมรรคและผล มันจะเกิดสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ ญาณทัสสนะ ญาณวิสุทธิ ท่านจึงจำกัดว่าต้องอยู่ในกรอบของสติปัฏฐาน ๔ 

นี่ท่านพูดโดยรวม ...คือในสติปัฏฐาน ๔ นี่ ไม่ได้หมายความว่ามรรคมันกอปรด้วยสติปัฏฐาน ๔ เพียงอย่างเดียว มรรคนั้นรวมตลอดในทุกธรรม

โพธิปักขิยธรรมก็รวมอยู่ในนั้น เป็นองค์ประกอบในองค์มรรค ศีลสมาธิปัญญาก็เป็นองค์ประกอบอยู่ในมรรค มรรคมีองค์ ๘ ก็มีองค์ประกอบอยู่ในทางของมรรค ...มันไม่ใช่แค่สติปัฏฐาน

แต่โดยรวมแล้ว มันอยู่ในกรอบที่เรียกว่าไตรสิกขา...คือศีลสมาธิปัญญาเป็นใหญ่ เป็นธรรมอันใหญ่ ที่ครอบคลุม ในองค์มรรคทั้งหมด ตลอดสาย ...ต้องเรียกว่าตลอดสายเลยนะ

แล้วทำไมสติปัฏฐาน ๔  นี่เพียงอย่างเดียว จะไม่ตลอดสายในองค์มรรค ...เพราะเมื่อใดที่เอาสติปัฏฐานเป็นหลัก แล้วเอาสติไปตั้งอยู่ในฐานใดฐานหนึ่ง หรือไปจดจ่ออยู่จำเพาะฐานใดฐานหนึ่ง 

คือเอาสติไประลึกรู้อยู่จำเพาะจิตบ้าง จำเพาะเวทนาบ้าง จำเพาะอารมณ์บ้าง  ฐานของสติตัวนี้...ที่เป็นฐานให้การระลึกรู้เหล่านี้ ในเวทนาบ้าง จิตบ้าง ธรรมบ้าง ...มันไม่ครอบคลุม มันไม่ตลอดสาย 

เข้าใจคำว่าครอบคลุมมั้ย  มันจะไม่ครอบคลุมขันธ์ทั้งห้า ...แล้วมันจะไม่ตลอดสายคืออย่างไร คือมันจะเว้นวรรคขาดตอน เพราะอาการของเวทนา จิต ธรรม มันไม่มีด้วยความต่อเนื่องอย่างชัดเจนตลอดเวลา 

นี่ มันจึงไม่เกิดความเป็นเส้นตรง ...และโดยเฉพาะขณะที่มันรู้ที่ใดที่หนึ่งที่เรียกว่าเวทนาบ้าง จิตบ้าง ธรรมบ้าง นี่ ...มันไม่ครอบคลุมโดยตลอดขันธ์ห้า


(ต่อแทร็ก 14/11)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น