วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/7 (1)


พระอาจารย์
14/7 (570407G)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
7 เมษายน 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ : แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความค่ะ)

พระอาจารย์ –   ฝึกศีลสมาธิปัญญาภายใน ...จนมันเกิดความเท่าทันทุกขณะจิต 

การปล่อยให้กิเลสมันชักนำพาไปสร้างภพ สร้างที่หมาย ที่หวัง ที่จริงจัง ที่น่าใคร่ หรือที่ไม่น่าใคร่ ที่ออกนอกจากปัจจุบันนี้ไป ...นี่ มันก็ไม่สามารถจะต่ออายุมันได้น่ะ

เพราะนั้นอายุขัยของจิตนี่สั้นมาก เกิดก็ง่ายนะ ตายก็เร็วนะ ... พอเกิดง่ายตายเร็วๆ เดี๋ยวเกิดยาก ตายเร็วน่ะ ...พอยิ่งเกิดยาก ตายเร็ว ทีนี้ก็ไม่ค่อยได้เกิดแล้ว

แต่ของพวกเราตอนนี้...เกิดง่าย ตายยาก ...ไม่ยอมตาย เชื้อชั่วไม่ยอมตาย ความคิดไม่ยอมดับ อารมณ์ไม่ยอมดับ ความอยากทะยาน ความปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่ยอมดับ ไม่ยอมตาย

ไม่รู้มันอยู่ได้ยังไง มันมีชีวิตอยู่ได้ยังไง มันกินข้าวกินน้ำจากไหน ...ทำไมไม่มีปัญญา ทำไมไม่เห็นว่าอะไรเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำให้มัน อะไรเป็นตัวส่งท่อน้ำเลี้ยงให้มัน

เพราะมันไม่รู้ไง เพราะมันไม่มีปัญญาไง มันจึงไม่เห็นว่าอะไรเป็นตัวยืดอายุให้มัน ให้กิเลสมันเกิดสภาวะอายุยืนยาวคราวไกล ...มันยืนยาวคราวไกลจนถึงข้ามอายุขันธ์น่ะ

ข้ามภพปัจจุบันไปสู่ชาติอนาคต จนไม่มีอายุขัยน่ะ เพราะไม่มีปัญญาแล้วก็เมื่อไม่มีปัญญา ไม่รู้ว่าอะไรเป็นท่อน้ำเลี้ยง มันจึงมีการส่งท่อน้ำเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา

การไปการมาของจิต การยืดการยาวของจิต การมีการเป็นของเรากับจิต...ที่ถูกหล่อเลี้ยงโดยที่ไม่มีปัญญารู้ว่ามันหล่อเลี้ยงจากอะไรเนี้ย มันจึงทำให้อายุของจิต อายุของ “เรา” เนี่ย ยาว

ไม่อายุสั้นพลันตาย เหมือนกับผู้ที่มีปัญญาที่เกิดจากการภาวนาในองค์มรรค ...นี่ อายุของอารมณ์ อายุของความนึกคิดปรุงแต่ง ดูเหมือนว่า...มันจำกัดอายุได้

ถ้าสามารถประเมินได้ว่ามันถูกล็อคไว้ ว่าอายุมันได้ประมาณนี้ แล้วไม่ไกลกว่านี้ ไม่ยาวกว่านี้ แล้วมันก็ดับ แล้วมันก็ทัน...เป็นกิจวัตร เป็นนิสัย เป็นอัตโนมัติ นี่ ประเมินถึงภพและชาติในอนาคตได้

ถ้าเมื่อใดกำลังของศีลสติสมาธิปัญญา ในระดับที่เรียกว่า...เห็นตรงไหนอายุขาดตรงนั้น  เห็นตรงไหนตายตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดที่เรียกว่าอารมณ์จิต ความคิดความจำ ความมีความเป็น ความดำรงคงอยู่

นี่ สามารถประเมินได้ถึงภพชาติเบื้องหน้า...ไม่เกินหนึ่งชาติแต่ถ้าไม่สามารถประเมินได้ ไม่ต้องตอบ ไม่มีวันจบ...ในการเกิดและการตาย

จิตเรา...ตัว “เรา” กับจิต ตัวนี้ต่างหากที่เป็นตัวพาไปเกิดพาไปตาย ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน

เพราะตัวกายนี่ มันมีจำเพาะปัจจุบัน  ตัวขันธ์ห้าตามความเป็นจริงนี่ มันมี มันดำรงคงอยู่ มันปรากฏอยู่แค่จำเพาะปัจจุบัน ...มันมีอายุตายตัว แค่ปัจจุบัน

แต่ตัวจิต “เรา” เป็นตัวที่ไม่มีอายุ เป็นตัวที่สร้างภพสร้างชาติ สร้างขันธ์ใหม่ขึ้นมารองรับภพ...ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต


โยม –  มันแสวงหาที่ตั้งใช่ไหมคะ ให้ดูจนไม่มีที่ตั้ง

พระอาจารย์ –  มันมีที่ตั้ง...เพราะมันเห็นว่าที่ตั้งนั้นเที่ยง มันมีที่ตั้ง...เพราะมันเห็นว่าที่ตั้งนั้นมีตัวตน แล้วตัวตนนั้นสามารถไปตั้งอยู่ได้เพราะมันเที่ยง

การเกิดจึงบังเกิดขึ้นในที่นั้น ...ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันไม่มี ทั้งที่ตั้ง...และตัวตน


โยม –  การทำลายก็เลยต้องให้มันเห็นไตรลักษณ์

พระอาจารย์ –  ไตรลักษณ์เท่านั้น จึงเข้าไปสลายความตั้งภพและชาติขึ้นได้ ...ด้วยความรู้ความเห็นในสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ขันธ์ห้านี้เป็นต้นไป...ว่าเป็นไตรลักษณ์  นั่นแหละจึงเป็นตัวตัด ลด ภพและชาติ

ซึ่งนั่นมันเป็นปัจจยาการขั้นปลายๆ เลยนะ แต่ถ้ามันเห็นได้แค่นี้ ก็เรียกว่ามันเหนือกว่าทุกข์แล้ว มันเริ่มเหนือตัวทุกข์แล้ว

เรียนรู้ จนถึงปัจจยาการต้นๆ ...ก็ไอ้ตัวที่จะไปสร้างภพน่ะมันมาจากอะไร ... เราบอกแล้วไงว่า สมุทัยมันมาจาก “ตัวเรา” แล้ว "ตัวเรา" มันมาจากตัวไหน


โยม –  แสดงว่าธีมของพระอริยะขั้นต้นๆ ท่านยังไม่ได้แจ้งอวิชชาจริงๆ

พระอาจารย์ – ยัง แค่ประเมินได้ พอประเมินได้ ... แต่ไอ้ที่จะชัดจริงๆ คือขั้นตอนแถวปลายๆ ท้ายสุด ระหว่างทุกข์กับภพชาติ ยังไม่ชัดขึ้นมาในระดับต้น

แต่ประเมินได้ แล้วก็คะเนได้ แล้วก็กำลังเพียรอยู่ในระดับนั้นต่อเนื่องไปแต่ไอ้ชัดตรงนี้จะชัด ปลายๆ นี่ ประมาณปัจจยาการที่สุดท้ายนั่นแหละ


โยม –  อ๋อ พระอาจารย์ก็เลยบอกว่า งานของพระอนาคา คือเห็นจิต

พระอาจารย์ –  ที่เดียวเลย


โยม –  ที่เดียว เพราะที่อื่นมันแจ้ง

พระอาจารย์ –  ไม่มีแล้ว ไม่มีที่นั้นแล้ว ...ปัจจยาการท้ายสุดนี่มันกลายเป็นอนัตตาแล้ว มันแจ้งถึงอนัตตาหมดแล้ว เพราะนั้นจิตจะไม่เกิดถึงจุดนั้นแล้ว แต่การเกิดดับของจิตยังมี อยู่กับใจที่เดียว

แล้วอาศัยทั้งหมดที่เป็นอนัตตานี่ มันยังมีกิเลสเข้าไปแฝงอยู่ว่าเป็นภพ...ที่ไม่มี  แล้ว "ไม่มี" นี่เป็นของเราอยู่ เป็นอารมณ์ของเราอยู่ แค่นั้นเอง ...คืออรูป

เพราะนั้นผู้ที่จะเห็นอรูปคือผู้ที่อยู่ระหว่างอวิชชากับสังขารา ...ตรงนี้จะติด จะเกิดความเป็นอรูป  ก็ไปติด...เหมาทั้งหมดเป็นภพของเรา ความว่างจากกิเลส


(ถามโยมอีกคน) นี่ ไม่ได้มา เป็นยังไงมั่ง

โยม –  ก็ช่วงหลังเวลาที่นั่งทำความเพียรได้สักสิบ-ยี่สิบนาที มันจะเกิดอาการคล้ายๆ ว่า หงุดหงิดก็ไม่ใช่ แล้วก็คล้ายๆ กับว่า ทุรนทุรายก็ไม่เชิงครับ

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องไปตีความ เฉยๆ รู้เฉยๆ


โยม –  ก็มีสติอยู่ รู้ว่าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ แต่มันก็เกิดอาการอย่างนี้สักพัก

พระอาจารย์ –  ปล่อยให้เขาเป็นไป ไม่ผลัก ไม่ดึง แล้วก็ไม่ทำความว่ามันคืออะไร รู้เฉยๆ


โยม –  มันไม่มีสาเหตุเลยครับ

พระอาจารย์ –  ชั่งหัวมัน อย่าไปสาวหาเหตุผล ไม่ใช่ปัจจยาการ ...ลักษณะการสาวหาเหตุผลด้วยความอยากนี่ ไม่ใช่ปัจจยาการเรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทเลย ไม่ใช่ตัวทำวิจยะด้วย เป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ

เฉยซะ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็ให้อยู่ในกรอบกายไว้ อย่าทิ้งกายนะ อย่าให้มันปรากฏขึ้นลอยๆ ...จะต้องมีกายนี่ หรือรูปกาย หรือรูปทรง หรือว่าทรวดทรง หรือว่าความรู้สึกในกายนี่เป็นตัวกำกับไว้ตลอด

เดี๋ยวมันจะแสดงความเปลี่ยนแปลงให้เห็นเอง แสดงสภาวะที่ไม่สามารถคงอยู่ได้เอง ด้วยตัวของมันเอง


โยม –  ช่วงหลังนี่จะเป็นบ่อยมาก เมื่อเช้าก็เป็น

พระอาจารย์ –  เหล่านี้คือสิ่งที่เราทำมา...ด้วยความโง่เขลาในอดีต แล้วมันเก็บ แล้วมันสร้าง แล้วมันหมักเป็นอารมณ์ดองไว้ ...เหมือนผักกาดดอง อยู่ได้นานนะ แล้วพอถึงเวลานี้มันก็เอามาทอดชุบไข่กิน

แล้วเราก็สงสัยว่าเราไปเก็บมาตอนไหน ...ทั้งๆ ที่กูดองเอง กูดองเองน่ะ ไม่ได้ไปหาซื้อมาจากตลาดนะ ค้นไปค้นมาไปเจออยู่ในห้องครัวแล้วกูก็มาปรุง 

แล้วมันก็สงสัย "เอ๊ ผักกาดดองนี้มาจากไหน" ...คือ กูดองเอง แต่กูดองเมื่อชาติที่แล้วล่ะมั้ง


โยม –  เก็บมาหลายชาติ

พระอาจารย์ –  เออ มันเลยลืมไง


โยม –  มันเป็นบ่อย นั่งสักสิบ-ยี่สิบนาทีเกิดแล้ว อาการนี้เกิดแล้ว จะกระวนกระวายก็ไม่เชิง หงุดหงิดก็ไม่ใช่

พระอาจารย์ –  ก็เรียกว่าใช้กรรมเก่าไป วิบากเก่า  โง่มานานนี่ เก็บขยะไว้นาน เยอะ หาทำแต่ขยะ ใช่มั้ย


โยม –  ครับ

พระอาจารย์ –  เออ แล้วก็เก็บเอาขยะไว้ในบ้านน่ะ พอตอนนี้จะเอาขยะออกหรือไม่หาขยะแล้ว ...ไอ้ขยะเก่ามันก็เริ่มอืดน่ะ กระจายขึ้นมาแหละ 

ก็ว่า...เอ๊ะมายังไง เริ่มสาวหาเหตุแล้ว นึกว่าเป็นวิจยธรรม ...นี่ กิเลสนะ ตัณหานะ ความสงสัย วิจิกิจฉานะ ...ทิ้งซะ เดี๋ยวขยะมันก็มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ก็จางไปเอง


โยม (อีกคน) –  มันยิ่งชัดมากเลยค่ะ รู้ๆ ไปมันก็ไม่หาย เพราะมันรู้ไป มันไปอยากรู้จุดนั้น แล้วก็จะไม่หาย

พระอาจารย์ –  ถึงบอกว่าอย่าไปจ่อกับมัน จ่อที่กายเป็นหลัก ...เข้าใจรึยังว่าทำไมต้องอยู่ที่กาย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่มีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา


โยม –  เพราะมันไปเอามาอยู่ตลอด

พระอาจารย์ –  นั่นแหละท่อน้ำเลี้ยง เราบอกแล้วไง เพราะไม่มีปัญญา ...มันไปให้ท่อน้ำเลี้ยงโดยเจตนา โดยความอยากรู้อยากเห็น นั่นแหละคือตัณหา 

ตัณหาจึงเป็นท่อน้ำเลี้ยง ตัณหาจึงเป็นตัวที่ผดุง...ไม่ใช่ผดุงคุณธรรม แต่ผดุงกิเลส ความยั่งยืนของกิเลส หรืออายุขัยของกิเลส หรืออายุขัยของภพและชาติในจิต

เมื่อมีปัญญาสอดส่องรู้เห็น หรือปัญญาจากภายนอกที่บอกและชี้ให้เห็นแล้ว...ก็ละซะ แค่นั้นเอง ...ทีนี้ก็หาที่ตั้งที่มั่นใหม่ เพื่อจะไม่ให้จิตหรือเรานี่แอบไปส่งท่อน้ำเลี้ยงคือตัณหาและเจตนา

ทีนี้ มันจะเห็นความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ ว่าล้วนแล้วแต่มีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรต้องสงสัยกับมัน ไม่มีอะไรเป็นความเป็นจริงของมัน นอกเหนือจากดับไปเป็นธรรมดา

นั่นน่ะจริงที่สุด ไม่ต้องหาแล้วว่าเหตุผลคืออะไร  เหตุผลที่แท้จริงคือมีความดับไปเป็นธรรมดา ... "ไม่ใช่ธุระของใครโว้ย" 

แต่ที่มันหา ...เพราะมันยังเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องของเราอยู่ นี่ยังเป็นอารมณ์ของเราอยู่ นี่ยังเป็นขยะที่เราเก็บไว้อยู่


เพราะนั้นไม่ต้องไปวิเคราะห์ ไม่ต้องไปสืบค้น ไม่ต้องไปหาความเป็นจริงกับมัน ...มันก็แสดงความเป็นจริงให้เห็นเอง 

ซึ่งไอ้ความจริงที่มันแสดงให้เห็นเอง นั่นน่ะใช่เลย...ไตรลักษณ์  ...ไม่เกินนี้ 


(ต่อแทร็ก 14/7 ช่วง 2)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น