วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/15 (2)


พระอาจารย์
14/15 (570415C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 เมษายน 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ : ต่อเนื่องจากแทร็ก 14/15 ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เราถึงบอกว่า...ถ้าไม่ยึดหมุดมาตรฐานกาย ไม่ยึดหมุดมาตรฐานศีล เป็นตัวรองรับธรรม รับรองธรรม...ธรรมคือความเป็นจริงนะ ...ถ้าไม่มีตัวกายเป็นตัวรับรองธรรมนะ เสร็จ...เสร็จมัน

โดนจิตนี่พาไปบินวนเหมือนอีกาหาเหยื่อ ก๊าๆๆ อยู่อย่างนี้ แล้วกามันไม่กินของสดชอบกินของเน่าอีกต่างหาก นั่นน่ะไปบินสูงน่ะ แบบ "มันได้เห็นไกล เห็นกว้างไง จะได้โฉบลงไปแบบทีเดียวติดเลย"

ถึงบอกว่าถ้าออกนอกกาย ออกนอกปัจจุบันเมื่อไหร่นี่ เสียหายนะ เราพูดว่า...เสียหายเลยนะ เสียหายในองค์มรรค เสียหายในองค์ศีล เสียหายในองค์สมาธิ เสียหายในองค์ปัญญาเลย

แต่พอเริ่มยินยอมพร้อมใจแล้วก็มาตั้งใจรักษาความรู้ตัวไว้ มันก็จะเริ่ม...“เหงา เซ็ง ไม่ได้อะไร คนอื่นเขารุดหน้าไปตั้งไกลแล้ว กูยังไม่รู้อะไรสักอย่างเลย" 

"ทำไมไม่เกิดสภาวะสภาแวะเหมือนเขาเลย ที่เขาพูดมาเป็นฉากๆๆ ...อายเขาจัง เวลาเขามาถามอะไรว่าทำไปถึงไหนแล้วเธอ ไปอยู่วัดสามวันนี่ กลับมาได้อะไร”

จะพูดก็น้ำท่วมปาก อึกๆ อักๆ จะว่า...“ไม่รู้อะไรเลย” ก็พูดไม่ออก ...คือจะตอบไปนี่ อัตลักษณ์กูก็ยังมี ก็เลยพยายามพูดแบบปั้นน้ำเป็นตัวหน่อยแบบ “ด๊ายยย อาจารย์สอนมาตั้งหลายอย่าง” (หัวเราะกัน) 

ก็พูดอย่างข้างๆ คูๆ นะ คือไอ้ที่พูดนี่รักษาอัตลักษณ์ด้วยนะ กลัวๆ กลัวเดี๋ยวเขาจะละเมิดอัตลักษณ์ของเราไป กลัวเขาว่า กลัวสูญเสียความเป็นเรา กลัวด้อยค่าของความเป็นเรา 

เห็นมั้ย มันยังหวงแหนความเป็นเราอยู่นะ ยังไม่เห็นโทษของ “เรา” จริง ยังไม่เห็นความผูกพันต่อเนื่องที่ความเป็น “เรา” นี่มันจะพาให้เกิดภพชาติไม่จบไม่สิ้น 

คือมันยังไม่เห็นโทษของ “ตัวเรา” จริงๆ มันจึงไม่ยอมที่จะเลิกละแบบเด็ดขาดลงไป ...จนกว่ามันจะเกิดภยญาณ ...รู้จักภยญาณมั้ย


โยม –  ภยญาณคืออะไรคะ

พระอาจารย์ –  กลัว ...มันจะเกิดความกลัวของการปรากฏขึ้นของ “เรา” มันจะเกิดความกลัวในการปรากฏขึ้นของขันธ์ของเรา มันจะเกิดความกลัวในการเกิดขึ้นของความที่มีเราโดยที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น 

มันจะเกิดเห็นภัยเห็นโทษในความเกิดของขันธ์ของเรา ตรงนี้ มันเห็นโทษก่อน แล้วมันจึงเกิดความกลัวในโทษของการปรากฏขึ้นของมัน ญาณตัวนี้ จะเป็นตัวผลักดันองค์มรรคให้เข้มแข็ง

แต่ตอนนี้มันไม่กลัว มันยังสนุกอยู่ ...มันสนุก มันเพลิดเพลินอยู่ในความเป็น “เรา” แล้ว “เรา” ไปทำอะไร แล้วมันมีความสุขจาก “เรา” ได้ ...มันจึงไม่เห็นว่ามันเป็นโทษเป็นภัยอย่างไร

ถ้าให้เทียบกับที่มานั่งแล้วรู้เฉยๆ แล้วมันไม่ได้อะไร มันจะบอกว่า “อันนั้นดีกว่า” ...นี่มันให้ความสำคัญ ให้น้ำหนักตรงนั้นมากกว่า 

แต่น้ำหนักของตรงนี้ที่รู้เฉยๆ นี่ สุข-ทุกข์มันไม่มี ...ถ้าเทียบกับน้ำหนักที่เราได้สุขกับทุกข์ด้วยการกระทำของเรา ความคิดของเรา ความเห็นของเรา น้ำหนักตรงนั้นมันมีมากกว่า

ตรงนี้จึงจะเกิดการคัดง้างกันระหว่างศีลกับโลก ศีลธรรมกับโลก ความเป็นจริงกับความไม่จริง ...ซึ่งสำหรับพวกเราตอนนี้ความไม่จริงนี่มีน้ำหนักแรงกว่า 

ตรงนี้จึงต้องกลับมาทวนบ่อยๆ ...เอาความจริงเข้าสู้ ไม่ใช่เอาความอยากเข้าไปสู้ เอาไปแก้ ...เอาสติตัวจริง เอากายตัวจริง เอาศีลตัวจริง เอาสมาธิคือเอาจิตตัวจริงมาสู้ 

คือแค่รู้...ตั้งอยู่แค่รู้ ตั้งอยู่แค่เห็น แล้วไม่ออกรู้ออกเห็นไปนอกกองกายนี้ กองปัจจุบันนี้ แค่นี้ ...ต้องตั้งกองนี้ เป็นฐานสู้ สู้กับความไม่จริง ซึ่งมันยังกำลังให้น้ำหนักอยู่


โยม –  อ๋อ หนูเข้าใจแล้ว ไอ้ที่เราสู้นี่ก็คือ...เหมือนมันหลอกล่อให้เรากลับไปทางเดิม ใช่รึเปล่าคะ คือไม่ยอมให้เรามา หนูเข้าใจอย่างนั้นฮ่ะ

พระอาจารย์ –  ดูอย่างเวลาเราเดินๆ อยู่ข้างถนนนี่ แล้วมีคนมาเดินชน...ปึง นี่ ปึ๊บมันจะทิ้งเนื้อทิ้งตัวเลย แล้วมันจะไปเกิดอารมณ์ทันทีเลย ...เห็นมั้ย มันทิ้งโดยที่ว่าโดยฉับพลันเลย 

มันจะไปตามร่องเดิมของมันเลยว่า...เขาชนเราจริง แล้วเราจะต้องโกรธกับมันจริงๆ ...นี่คือการเป็นอัตลักษณ์โดยที่ว่าแทบจะเป็นธรรมชาติของเรา...ทุกผู้ทุกคนเลย

แต่ถ้าในลักษณะของพระอริยะ ชนปึ๊บ...รู้ตัวปั๊บอยู่ตรงนั้นเลย จิตนี่หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ...แล้วก็การชนนั้นดับไป การเคลื่อนของรูป ของบุคคล สลายไปในปัจจุบันนั้นเลย

นี่มันเกิดความเคยชินในคนละแบบ คนละระบบกัน ...มันจึงไม่เกิดความสืบเนื่อง ไม่เกิดความสืบเนื่องของขันธ์ทั้งในอนาคต ทั้งในอดีต ...มันสืบเนื่องได้ทั้งสองแง่นะ ทั้งในอดีตทั้งในอนาคต 

แต่นี่โดยสัญญาก็ไม่มี โดยอนาคตที่คิดว่า...เดี๋ยวจะตามไปด่ามันสักหน่อย เพราะเมื่อกี้ด่าไม่ทัน ...ก็ไม่มีอ่ะ ...ไม่มี ดับหมดตรงนั้น

นี่เรียกว่าเกิดความเท่าทัน แล้วก็...ปัญญามันเข้าไปละ เข้าไปตัดความสืบเนื่องต่อเนื่องเป็นภพและชาติ ...ซึ่งมันจะเป็นโดยอัตโนมัติ

นี่พูดถึงว่ายังไม่ถึงที่สุดของธรรม ของผลนะ ...นี่ในระดับพระอนาคา ระดับมรรคขั้นสูงลงไป จะรู้สึกอย่างนี้ก่อน โดยเป็นอัตโนมัติเลย


โยม –  ชนก็ไม่รู้สึกอะไรเหรอ

พระอาจารย์ –  ไอ้นั่นพระอรหันต์ ... ถึงบอกว่าไปทำกรรมกับพระอรหันต์นี่ เหมือนกับเอามือไปชกลม 

แล้วถามว่าพระอรหันต์ท่านตอบโต้มั้ย...เปล่า พระอรหันต์ท่านถือโกรธใครกับตรงนั้นมั้ย...เปล่า พระอรหันต์ท่านเป็นบุญเป็นบาปกับท่านรึเปล่า...ก็เปล่า

แต่มึงชกเข้าไปเถอะ มึงเมื่อยเอง ความเมื่อยเกิดที่คนนั้น ใครชกแรงก็เมื่อยแรง เข้าใจมั้ย ...คือไม่ได้เนื่องเพราะท่านเลยนะ ท่านคือลมน่ะ 

เนี่ย กรรมที่กระทำกับพระอรหันต์ เหมือนอย่างนั้น ... แต่ว่าผลตอบสนองนี่...เท่ากับที่กระทำไป เท่าที่กระทำตรงนั้นเลย เข้าใจมั้ย

แต่ถ้าเราไปชกกระสอบทราย มันมีแรงการปะทะกัน มันมีการซึมอำนาจพลังซึ่งกันและกัน ตรงเนี้ย มันจึงมีปฏิกิริยาตอบโต้ ซึ่งมันสลายความรู้สึกที่เป็นผลในปัจจุบันโดยทันทีไป

แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์นี่...เต็มๆ บอกให้เลย ...กรรมจึงเกิดขึ้นแบบทันตาเลย เหมือนกับประมาณนั้นเลย เพราะว่าไม่มีการแบ่งซึมซาบกรรมซึ่งกันและกัน

คราวนี้อย่างนี้เปรียบเทียบว่า พระอรหันต์นี่เปรียบเหมือนอากาศ พระอนาคาเปรียบเหมือนกระดาษเบาๆ บางๆ ถ้าเป็นระดับต่ำกว่านั้นก็เป็นประเภทกองฟาง 

แต่ถ้าเป็นพวกเราแบบปุถุชน...ก็กำแพงกับกำแพง เข้าใจมั้ย กระทบกันเป็นไง ...แล้วมันตอบโต้ดิ้นได้ด้วยนะ มันไม่ใช่แค่กำแพงที่เป็นกำแพงไม่มีชีวิตนะ

เนี่ย พูดเพื่อให้เข้าใจว่าการรู้ตัวนี่สำคัญอย่างไร สำคัญยิ่งกว่าความรู้ในที่อื่นทั้งสิ้นเลย ความรู้ที่อื่น ความรู้ที่นอกจากตัวนี้ออกไปนี่ ถือว่าเป็นความรู้ลวง ความเห็นอันลวง...หลอกลวง


โยม –  พระอาจารย์คะ หนูเคยได้ยินเขาพูดว่าการฝึกกรรมฐานนะ ไปฝึกเองไม่ได้ เดี๋ยวมันจะบ้า จะต้องมีครู เพราะเหตุนี้ใช่มั้ยคะ

พระอาจารย์ –  ก็คล้ายๆ อย่างนี้ แต่มันไม่ถึงกับบ้าบออะไรหรอกถึงไปฝึกเอง ...มันก็เป็นเรื่องของอำนาจกรรมด้วย 

ถ้าไม่มีกรรมเข้ามาเสริมเติมแต่ง คือกรรมในอดีต กรรมในที่เคยทำมาไม่เป็นกุศลนี่ มันก็ไม่พาให้เกิดความบ้าใบ้จนเสียจริตไปหรอก

แต่ว่าการที่มีครูบาอาจารย์ ...แล้วครูบาอาจารย์ต้องเป็นครูบาอาจารย์ที่อยู่ในเส้นทางของมรรคจริงๆ


โยม –  ที่รู้จริง

พระอาจารย์ –  เพราะอาจารย์นี่ก็มีหลาย ...หลายจนล้นแล้ว สมัยนี้ บวชซักห้าพรรษา นั่งปุ๊บรวมปั๊บ รูดปุ๊บสำเร็จปั๊บ ประกาศธรรมป้าบ ...เยอะ 

แต่ละรูป ละอ่อนๆ หน้าตาละอ่อนๆ ทั้งนั้น หูย ใหญ่โตมโหฬารในธรรม ...เยอะ ง่าย แบบ “อาตมาบารมีสูงมาแต่เกิดน่ะ มันก็เลย อือม์ เร็วหน่อยน่ะโยม” อะไรประมาณนั้นน่ะ

พวกควายที่ฟังก็หูผึ่งหางกระดิก ก็มีแต่ควายฟัง หาคนฟังไม่มีอ่ะ ...แต่ถ้าคนฟังก็ลุกขึ้นแล้วก็เดินจากไป แต่ไอ้ควายก็ยังหันมามองว่า...เหอะ ไอ้นี่ไม่มีปัญญา

นี่คือเหล่าพระอริยะท่านจะรู้ว่าจริงไหม ...อันนี้ธรรมจริงหรือว่าธรรมปลอม อันนี้เป็นความรู้ที่แท้จริงหรือเป็นความรู้หลอก อันนี้เป็นธรรมตามตำราหรือเป็นธรรมที่นึกคิดขึ้นมาเอง 

เรียกว่าตาของท่านนี่เหมือนกับรังสีเอ็กซเรย์น่ะ มันเห็นไปถึงเลือดเนื้อกระดูกในการกระทำคำพูด ในเนื้ออรรถเนื้อธรรม 

ไม่ได้เห็นด้วยตาญาณ ไม่ได้เห็นด้วยเจโต ไม่ได้เห็นด้วยอะไร ...แต่เห็นจากเนื้อธรรม ว่าธรรมนี้ยังเจือปนกี่มากกี่น้อย หรือเป็นธรรมอันบริสุทธิ์จริงๆ 

คือธรรมที่สังเคราะห์มาเป็นวาจานั่นแหละ มันออกมา ...เพราะว่าจะเป็นธรรมจริงๆ มันจะต้องสังเคราะห์มาจากวาจาที่บริสุทธิ์ จากกายที่บริสุทธิ์ จากจิตที่บริสุทธิ์ ...มันจะต่างกัน

แต่ถ้ามันผ่านมาจากวาจาที่ไม่บริสุทธิ์ มันผ่านมากับจิตที่ไม่บริสุทธิ์ แม้จะเป็นภาษาธรรมเดียวกัน ก็ต่าง...เมื่อไม่ใช่ธรรมอันนั้นจริงๆ เข้าใจมั้ย


(ต่อแทร็ก 14/16)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น