วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/15 (1)


พระอาจารย์
14/15 (570415C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 เมษายน 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ : แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความ)

โยม –  หลวงพ่อคะ หนูอยากถามว่า อย่างเรามีเพื่อน...เพื่อนร่วมโลกเราที่เขามีปัญหา แต่ว่าอย่างเรามาเข้าวัดอย่างนี้ เราก็ได้ความรู้ แต่ว่าเขาไม่มีโอกาสอย่างเราน่ะ เราจะไปช่วยแนะนำเขายังไง

พระอาจารย์ –  ช่วยตัวเองให้รอดก่อน ช่วยตัวเองให้มาก


โยม –  ช่วยตัวเองดีกว่า?

พระอาจารย์ –  ดีกว่าไปช่วยคนอื่น ...ทั้งๆ ที่ว่าตัวเองยังอยู่ในสภาพ...เป็นโปลิโอ หลังค่อม มือหงิก ใช้กระดืบๆ ไปบนทาง แล้วว่า... “สงสารคนรอบข้างจัง ไม่รู้จะช่วยเขายังไงดี” 

ไอ้ตัวเองก็กระดึ้บๆๆ เหมือนหนอนดิ้นไป เหมือนหนอนกินอยู่บนยอดชาเขียวสามใบ แต่ด้วยความเมตตา ...“สงสารเพื่อนจัง” (หัวเราะกัน) “จะหาทางไหนช่วยมันดี”


โยม –  ช่วยสละหลังให้ขี่ กระดึ้บๆ

พระอาจารย์ –  อย่าให้มันเป็นอย่างนั้น


โยม –  ก็เห็นแก่ตัวสิคะ

พระอาจารย์ –  ธรรมดา ...อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนต้องเป็นที่พึ่งของตนเอง ตนจะต้องยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองก่อน ตนจะต้องคล่องแคล่วในการดำรงวิถีแห่งมรรค ดำรงวิถีแห่งขันธ์...โดยรอบโดยตลอดให้ดีก่อน 

ไม่อย่างงั้นน่ะ จะเป็นภาวะที่เรียกว่า “เตี้ยอุ้มค่อม” ...รุงรัง แล้วตัวนั้นน่ะคือตัวรั้งและเหนี่ยว ถ่วง

เห็นมั้ย นี่มันเป็นเมตตาด้วยความละโมบนะ มันเป็นความเมตตาที่ติดและข้องนะ ไม่ใช่เมตตาญาณ ไม่ใช่เมตตาที่เป็นอัปปมัญญา ไม่ใช่เมตตาของพระอริยะบุคคล แต่เป็นเมตตาที่ยังแฝงด้วยความติดและข้อง

อย่าเพิ่งรีบเมตตา ...เมตตาตัวเองก่อนว่า “กูจะรอดมั้ยเนี่ย กูจะรอดจากปากเหยี่ยวปากกามั้ยเนี่ย” เข้าใจมั้ย ...วันนี้จะเจออะไรมั่ง รู้มั้ย และจะรับกับสภาวะอารมณ์ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นมั้ย นี่ กูจะรอดมั้ยเนี่ย

คำว่ารอดคืออะไร คือสามารถดำรงคงจิตกับกายด้วยความสม่ำเสมอต่อเนื่องได้มั้ย ..."กูจะรอดมั้ยนี่" ... ประเมินตัวเองได้รึยัง เห็นมั้ย ไม่แน่  

ไม่รู้ว่าวันนี้จะไปเหยียบตาปลาใครรึเปล่า หรืออยู่ดีๆ ไอ้คนข้างๆ มันประสาทแดกขึ้นมาแล้วอยู่ดีๆ มันหันมากัด ใช่มั้ย ไม่รู้


โยม –  ช่วยตัวเองให้ได้ก่อนใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  จนกว่ามันจะเกิดความมั่นใจจริงๆ น่ะ ...คือถ้าไม่ใช่ระดับพระอริยะจริงๆ จะไม่สามารถประเมินได้เลยว่าศีลสมาธิปัญญาระดับเนี้ย มันจะพอกับกิเลสตัวนี้ตัวนั้นตัวโน้นมั้ย


โยม –  อย่างนั้นที่เราทำบุญช่วยคนอื่นไปมันก็ไม่ได้ผลสิคะ

พระอาจารย์ –  ผลมันก็ได้ บุญก็มี ...แต่ว่าบุญแค่นี้มันไม่สามารถสงเคราะห์เข้าองค์มรรคได้ร้อยเปอร์เซ็นต์  เขาเรียกว่า พอเป็นน้ำจิ้ม หือ อร่อยมั้ย เนื้อย่างเกาหลีถ้าไม่กินน้ำจิ้มมันก็ไม่อร่อย

แต่ถ้ากินน้ำจิ้มอย่างเดียวก็คงไม่อิ่ม ...ก็ได้แค่น้ำจิ้มน่ะบุญ-บาป แต่ถ้าจะอิ่มท้องก็ต้องกินเนื้อล้วนๆ จะมีน้ำจิ้มหรือไม่มี จะกระดากปากติดคอ กินเข้าไป ฝืดคอหน่อย ไม่อร่อย กินเข้าไปเถอะๆ

แล้วก็รู้...ถ้าท้องอิ่มแล้ว น้ำจิ้มกูก็ไม่กินแล้ว ...แต่ถ้ามานั่งกินน้ำจิ้มน่ะ เนื้อก็ไม่ตกถึงท้อง ข้าวก็ไม่ได้ตกถึงท้อง กับข้าว ผลไม้ก็ไม่ได้ตกถึงท้อง ...ก็มีแต่กินน้ำจิ้ม โรคมันจะถามหานะ 

เหล่านี้ พวกเราจะต้องเข้าใจก่อน เพราะมันเป็นธรรมเนียมที่คุ้นเคยมาก่อน ดี-ร้าย ถูก-ผิด แล้วก็...อัตลักษณ์ของเราคือพยายามสร้างภาพเป็นคนดี เป็นผู้มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลก 

แต่ค่อนข้างจะรู้สึกว่าสัตว์โลกไม่ค่อยเมตตาเราเลย (หัวเราะกัน) ทั้งๆ ที่ว่ากูอุตส่าห์เมตตามัน ...เห็นมั้ย ลึกๆ มันยังมีนะ...ความเป็นเรากับเขานี่ 

เพราะนั้น แรกๆ ก็ดูดีนะ เมตตานี่ แต่พอมันชักเริ่มไม่ฟัง “ทำไม่สัตว์โลกมันอย่างนี้ นี่เมตตานะกูถึงสอน” นี่ จะเริ่มหงุดหงิด จะเริ่มเป็นปฏิฆะ 

จะเริ่มคิดแทนเขา จะเริ่มกังวลในความเป็นไป ความดำเนินไปในวิถีกายวิถีจิตของเขา ว่าเขาจะเจออะไรรึเปล่า มันรุงรังนะ นี่ ต้องเป็นคนใจดำ


โยม –  ใจเด็ดไม่ใช่ใจดำ

พระอาจารย์ –  ดำด้วย ไม่เห็นหัวใคร ไม่เอาธุระกับใคร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เข้าใจมั้ย ...คือไม่ใช่เพราะโดยนิสัย แต่ว่าเพราะมีจุดมุ่งหมาย ...ไม่ใช่ไปสร้างสันดานให้ใจดำ 

แต่ว่ามีจุดมุ่งหมาย นั่น แล้วค่อยว่ากันใหม่ ถ้าถึงจุดนั้นแล้วค่อยว่ากันใหม่ ...ทีนี้จะรู้จักคำว่า “เมตตาอัปปมัญญา” คือเมตตาไม่มีประมาณ

อย่างหลวงปู่...ท่านเทศนาสอนธรรมนะ ตีสามกับหนึ่งทุ่ม เป็นกิจวัตร  สมมุติว่าไม่มีพระมาเลย มีโยมมานั่งคนเดียว...ท่านก็พูด แม้แต่ไอ้คนมานั่งฟังมันจะไม่สนใจเอาไปปฏิบัติเลย...ท่านก็เทศน์เรื่องการปฏิบัติ

เนี่ย คือท่านไม่อยู่ในฐานะที่ว่าหว่านพืชหวังผล ...แต่ท่านไม่เคยทิ้งการหว่าน แม้มันจะเกิดผล เกิดต้น เกิดหน่อ เกิดกล้า หรือไม่เกิดเลย ...ท่านก็หว่าน 

เนี่ยคืออัปปมัญญา ไม่มีประมาณ ... แต่ถ้าหว่านไปแล้ว มีกล้าเติบใหญ่ ออกหน่อ ออกผล งดงาม  ท่านก็อนุโมทนา

ให้มันถึงจุดนั้นก่อน แล้วมันจะได้ผลอันใหญ่...กว่าที่เราจะไปเกื้อกูลเล็กๆ น้อยๆ แต่ว่าไอ้ที่ติดข้องตามมาเป็นพะเรอเกวียน นี่ ...เรียกว่า "ได้...น้อยกว่าเสีย"

จะต้องให้ได้ศีลกับตัวเองก่อน จะต้องให้ได้สมาธิกับตัวเองก่อนให้มาก จะต้องให้ได้ปัญญากับตัวเองก่อนให้มาก แล้วต้องหวงแหนยิ่ง...ในศีลสมาธิปัญญาของตัวเอง

หวงแหนโดยยังไง ...รักษาไว้ ทะนุถนอม ฟูมฟักประคับประคองไว้ ...อย่าทำเป็นแบบลิงได้แก้ว  เบื่อแล้วก็ทิ้ง เล่นแล้วไม่สนุกก็ทิ้ง ว่าไม่มีอย่างที่เข้าใจตามที่เคยคิดคาดหมาย เคยอยากก็ทิ้ง ...อย่างนี้ ลิงได้แก้ว

เพียรรักษาไว้ซึ่งความรู้ตัว...ที่มันดูเหมือนไม่ได้อะไร ไม่เป็นอะไร ไม่เกิดอะไร ...นี่ เห็นมั้ย แค่ว่าไม่เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่รู้ตัวอยู่นี่ นี่คือมงคล 

คือไม่เกิดอะไรขึ้นเลยระหว่างที่รู้ตัวนี่ แปลว่ายังไง ...ก็แปลว่าจิตมันไม่ออกไปสร้างภพนะ มันจึงไม่รู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้นมาเลย ...เห็นมั้ยว่ามันระงับความเกิดขึ้นมั้ย มันระงับภพมั้ย

แต่ว่าความทะยานในภพ...คืออำนาจของตัณหานี่มันยังมี ตัณหายังไม่หมด  มันจึงรู้สึกว่า...อยากจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ...แต่ในขณะที่มันรู้ตัว มันจะอยู่ในสภาวะที่ไม่เกิดอะไรขึ้นมาเลย

เพราะนั้นพวกเราจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เนี่ย ดีแล้ว เนี่ยถูกแล้ว เนี่ย ตรงแล้ว เนี่ย ใช่แล้ว ...ทุกอย่างที่มันกำลังปรากฏอยู่ในท่ามกลางความรู้ตัวนี่ มันเป็นเหตุแห่งองค์มรรค ตรงต่อองค์มรรคแล้ว

เห็นมั้ยว่า แม้กระทั่งเรามาประกอบอยู่ในปัจจุบัน ผลก็ยังเกิดในปัจจุบันเลย ...คือ มันระงับซึ่งความเกิด มันถึงเป็นความรู้สึกเป็นผลมาว่า...ไม่เกิดอะไรเลย

แต่ไอ้อำนาจของตัณหาที่มันยังมีเชื้ออยู่ภายใน มันยังมีความทะยานอยากในการเกิด แล้วมันก็จะสร้างทิฏฐิในความทะยานอยากว่า..."ในการเกิดนี่มันจะได้เกิดอะไรที่เป็นสุขๆ กว่านี้"

นี่มันหลอกล่อแบบเอาของมียี่ห้อมาติด เอาแอร์เมสมาติด เอาชื่อหลุยส์วิตตองมาติด เอาเฟอร์รากาโน่มาติด  แล้วก็เสร็จๆ ...เสร็จมัน

คือตอนแรกเอาของสนามหลวงมาติดนี่...ฮื้อ เอาของโบ๊เบ๊มาก็...ฮื้อ  พอเป็นหลุยส์วิตตอง ...เอ๊ ชักเหล่มอง เนี่ย เดี๋ยวมันก็หาไอ้ตรงที่ป๊ะใจกูมานั่นแหละ

นี่คือความล่อหลอกของจิต แล้วมันสร้างภพมาล่อ สร้างความสุขในภพมาล่ออย่างนี้ ...แต่พอมาอยู่ตรงนี้ มันจะต้องอดอยากปากแห้ง เพราะมันจะไม่เกิดอะไรเลย

ทีนี้มันก็มาในคราบของธรรม ...เห็นมั้ย จิตมันแปลงหน้าแปลงตานะ "ในคราบของโลกมึงไม่ไปใช่มั้ย เนี่ย กูเอาเฟอร์รากาโน่ กูเอาหลุยส์วิตตอง เอากุชชี่ มาล่อ"

ทีนี้ก็ลังเลแล้วว่า “ถ้าไม่ไป...ก็จะไม่ได้ความรู้ในธรรมนี้ จะละเลิกเพิกถอนอะไรไม่ได้ จะไม่เข้าถึงมรรคผลเลยนะนี่ มันไม่มีปัญญาเกิดขึ้นมาเลยนะ” ... เนี่ย มันเอาธรรมมาล่อ

ซึ่งในขณะที่รู้ตัวกันอยู่นี่ก็ยังเป็นควายอยู่นะ ไม่ใช่ว่าหมดสิ้นความเป็นควายแล้วนะ จริงๆ ยังโง่อยู่ แต่กำลังพยายามดัดแปลงความโง่ของตัวเอง จากโง่แล้วอวดฉลาด ก็กำลังมาฉลาดในความโง่ 

แต่มันก็ยังมีนิสัยโง่อวดฉลาดอยู่ มันยังไม่หายโดยที่สุดหรอก ...เพราะนั้นพอเอาธรรมมาล่อนี่ มันก็เป็นของที่...อดไม่ได้ ยังอดไม่ได้

แล้วยิ่งไปอยู่ในกลุ่ม สมมุติไปอยู่ในสำนัก มีเพื่อนไหนสำนักเดียวกัน แล้วเขามาเล่าสภาวธรรมต่างๆ  แล้วเขาบอกว่าเขาทำแล้วเขาเห็นนี่ๆๆๆ

อู้ย เริ่มแล้วๆ เริ่มน้ำลายยืด ตาเยิ้ม ทะยาน ทิ้งเนื้อทิ้งตัว ทิ้งปัจจุบัน ทิ้งกายเลย ทิ้งรู้เลย ...แล้วไปไหน ...ไปหา หา หาจนจะเป็นมหาอยู่แล้ว รู้จักคำว่า “มหา” มั้ย มันหาจนได้เป็นมหาน่ะ

เข้าใจคำว่า “มหา” มั้ย คือมันเซอร์ติฟิเคท (certificate) รองรับน่ะ ...ว่ากูรู้จริงๆ นะเนี่ย ความรู้กูเยอะจริงๆ นะเนี่ย ก็เลย “มหา” เลย ...จะเอาถึงเปรียญ ๙ เลยรึไง

กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกนี่ ก็ต้องหอบสังขารลากสังขารมาถึงเชียงใหม่ ...ก็ถึงบอกว่า มันไม่ใช่นะ ขอยึดใบรับรองความเป็นมหาคืนได้มั้ย ...เนี่ย ยังยื้ออีกนะ ยังดึงอีกนะ


โยม –  เสียดายฮ่ะ (หัวเราะ)


พระอาจารย์ –  เออ มันแบบว่า... “กว่าจะสร้างความรู้ความเห็นในระดับนี้ขึ้นมา เนี่ย รู้ถึงจิตใจหนูบ้างมั้ย

นี่ มันไม่ใช่ว่ามันมีแง่มุมเดียวนะ ความล่อหลอกของจิต มันทุกรูปแบบเลย ...เพื่อจะให้อยู่ในกำมือของอวิชชาคือความไม่จริง แล้วปั้นแต่งขึ้นมา...ให้จริงให้ได้ ไม่แง่ใดก็แง่หนึ่งน่ะ


(ต่อแทร็ก 14/15 ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น