วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 14/12 (1)


พระอาจารย์
14/12 (570412E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
12 เมษายน 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ : แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความค่ะ)

พระอาจารย์ –  ถ้าผู้ที่เรียนรู้ขันธ์มานาน...จนถ่องแท้เข้าใจแล้ว  ท่านก็ไปเรียนรู้ในกายส่วนที่ละเอียดกว่า เช่น กายรูปหรือรูปกาย หรือเรียนรู้เรื่องกายเวทนา ...นี่กายละเอียดกว่ากายธาตุนะ 

ในกองกายนี่มันมีหลายลักษณะอาการ...มากเกินกว่าที่เราคิดและคาดถึง  แม้แต่ในมหาสติปัฏฐาน ในเรื่องของกาย ท่านยังพูดเลยว่าการรู้กายเห็นกายในกาย...ในกายๆ เข้าไปเรื่อยๆ  

กายที่เห็นๆ กันอยู่นี่ ไม่ใช่มันจบอยู่แค่นี้หรอก ...ความเป็นกายนี่ มันมีซ้อนๆๆๆ อยู่ในนี้

แต่ผู้ไม่ปฏิบัติจริง ก็จะไม่เห็นกายจริงๆ ที่ซ้อนอยู่ในกายหยาบๆ นี่...ที่จับต้องได้ รู้เห็นโดยสายตา แล้วไปเกิดความหมายมั่นเอาแบบดื้อๆ ทื่อๆ ว่าเนี้ย...ชื่ออย่างเนี้ย เป็นของเราอย่างงั้น เป็นเขาคนโน้นอย่างโง้น

นี่มันแค่ประเมินเอาจากสายตาและก็ความคิดเท่านั้น มันเชื่อเลยว่ากายคือแค่นี้ แล้วเป็นอย่างนี้จริงๆ ตามที่มันใส่ค่าให้ราคาลงไป

ใครคือมัน...มันคือเรา ... เรามาจากไหน เรามาจากอวิชชา  อวิชชาอยู่ไหน...ครอบงำใจทั้งดวง  ปัจจยาการทั้งหมดมันอยู่ตรงนี้

มันก็เสร็จ...ตายใจ เกิดความตายใจกับกายนี้ ว่าเป็นอย่างนี้ แล้วก็เป็นแค่นี้จริงๆ ไม่มีอะไรกว่านี้ ...นี่ คือตายใจกับศีล ตายใจกับไตรสิกขาเบื้องต้น ตายใจกับจุดเริ่มต้นของการเดินไปในองค์มรรค

จากนี้ไปก็ตีนลอยอยู่ ล่องลอย วิ่งไล่หา ค้น เรียนรู้ธรรมต่างๆ นานาซะแทน...โดยไม่ได้ทำให้เกิดความรู้เบื้องต้นว่ากายนี้คืออะไร กายตามความเป็นจริงคืออะไร 

แล้วกายที่ไม่จริงมายังไง เกิดจากอะไร อะไรเป็นแดนเกิดแห่งกายนั้น อะไรเป็นแดนเกิดแห่งกายธาตุ อะไรเป็นแดนเกิดแห่งกายที่ไม่มีที่สุด อะไรเป็นแดนเกิดของกายที่เป็นกายอนัตตา

เพราะนั้น...กว่าที่มันจะแจ้งเรื่องกายนี่ ใช้เวลามาก...พอสมควรเลยแหละ ... ไม่ใช่แค่ป๊อบๆ แป๊บๆ ก็เบื่อแล้ว ก็ว่ารู้แค่นี้ก็เก่งแล้วกู ...พุทโธ่ โธ่ 

มันต้องรู้ขนาดไหน ...รู้ขนาดที่เรียกว่า ตื่นยันหลับ ไม่ลืมเลยแม้แต่ปัจจุบันกายเดียว ...ขนาดนั้น

ฟังดูเหมือนยาก แต่ถ้าทำแล้วไม่ยาก ถ้าทำจริงๆ ไม่ยาก ... เผลอเอาใหม่ๆๆ ...เผลอเอาใหม่ๆๆ ไม่เกี่ยงงอนๆ รักษาอยู่ เผลออีก เอาอีก มันเผลอล้านครั้ง รู้ล้านครั้งเข้าไป อย่างนี้ 

คือความเพียรอย่างยิ่งยวดอย่างนี้ มันไม่ยากหรอก แต่ว่ามันต้องขยันจริงๆ โดยที่ไม่มีข้อแม้เงื่อนไขเลยน่ะ ไม่ให้จิตมันสร้างเงื่อนไขอะไรมาเลยน่ะ ...ลืมเอาใหม่ๆๆๆ อยู่อย่างนี้

เดี๋ยวกายกับจิตก็แนบชิดสนิทติดกันแบบไม่คลาดเคลื่อนเลย ...จนมันเป็นอัตโนมัติ จนมันอยู่กับเนื้อกับตัวโดยที่ไม่ต้องบังคับกดข่ม โดยที่ไม่ต้องไปคอยเรียกร้องด้วยสติเลย ด้วยสติธรรมดาๆ ที่เราใช้กันนี่ 

แต่มันจะอยู่ได้ด้วยมหาสติ ...ความรู้แจ้งในกองกายในระดับที่เป็นมหาสติ มหาสมาธิในระดับนี้ ไม่มีอะไรมาปิดบังกายได้เลย ...ซึ่งอะไรที่มาปิดบังกาย ก็คือตัวจิตนั่นเอง ตัวความปรุงแต่งในจิตนั่นเอง

มันจึงเรียกว่าเกิดความรู้ความเห็นที่ไม่มีอะไรมาปิดบังกายเลย นี่คือว่า...เน็ทๆ (net) มันเข้าไปเห็นวิสุทธิกาย หรือว่ากายเน็ทๆ กายล้วนๆ หรือว่ากายวิสุทธิเลย 

ไม่มีอะไรสามารถมาปิดบังกายได้ ...ด้วยอำนาจของสติที่เป็นมหา ด้วยอำนาจของสมาธิที่เป็นมหา ด้วยอำนาจของญาณที่มันรู้เห็นจากมหาสติมหาสมาธินี่ 

จิตก็ไม่สามารถออกมาครอบคลุม ยืด หรือมาทาบทา...ด้วยความคิด ด้วยภาษา ด้วยความเห็น ด้วยอดีตด้วยอนาคต ...จะไม่มีเงาของจิตนี่มาทาบส่องถึงได้เลย

ความสว่างของกายนี่ชัดเจนชัดแจ้ง...เกิดยังไง ตั้งยังไง ดับยังไง ...เกิดยังไง ตั้งยังไง ดับยังไง ในความเกิดมีอะไร ในความตั้งอยู่มีอะไร ในความดับไปมีอะไร มันชัดเจนในทุกกระบวนการของกายที่ปรากฏตรงนั้น

ไม่ต้องถามเลยว่าละกิเลสได้ยังไง ไม่ต้องถามว่ากิเลสอยู่ที่ไหน ไม่ต้องถามว่าสักกายะคืออะไร...ไม่ต้องถามเลย ...มันถูกแสง ถูกแรงพลังแห่งสมาธิปัญญานี่แผดเผาอ่ะ เรียกว่าระเหิดไปเลย

ไม่ว่ามันจะแย็บออกมา มันจะแหวกออกมา มันจะหมายออกมา พั้บนี่ เจอมหาสติ มหาสมาธิที่ดำรงคงไว้ พึ่บๆๆ อยู่อย่างนี้เลย คงสว่างกายกับสว่างรู้อยู่อย่างนั้นน่ะ

ได้กันรึยัง หือ ทำไปสู่จุดนี้รึยัง ...แล้วมันทำอะไรอยู่ มันหมดเวลาไปกับการหาธรรมบทไหน บาทไหนอยู่

ถ้ามันเห็นธรรมในกายในระดับนั้นน่ะ...ไม่ต้องถามหาจิตเลยว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอย่างไร ว่าจิตมีสาระแก่นสารแต่ประการใด ว่าจิตมีตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคลเราเขาได้อย่างไร ...ไม่มี

เห็นมั้ยว่า พอถึงจุดที่มันละกายได้ระดับนึงแล้วนี่...มันจะละจิตได้โดยระดับนึงเลย  มันจะเห็นความเป็นจริงของจิตเลยว่า...ไม่มีสาระแต่ประการใด 

มันเป็นแค่อาการ พึ่บๆๆๆ วูบวาบไปมา พึ่บๆๆ แล้วก็ดับ วูบไปวาบมา หาต้นตอ หาที่สุด หาที่ดับ หาซากไม่มี ...มันเป็นอะไรพึ่บๆๆ อย่างนั้น

แล้วพวกเรา...เข้าให้ถึงศีลกันรึยัง กำลังเพียรอยู่ในองค์ศีลรึยัง กำลังเพียรอยู่ในองค์สมาธิได้รึยัง ...มันสร้างฐานของศีล สร้างฐานของสมาธิได้รึยัง 

อย่าถามหาแต่ปัญญาถ่ายเดียว อย่าหวัง อย่าคาดแต่ผลที่จะได้จากการละและวางอย่างเดียว

ถ้าเหตุแห่งศีล...ผลแห่งศีลยังไม่เกิด เหตุแห่งสมาธิ...ผลแห่งสมาธิยังไม่บังเกิด ...เป็นไปไม่ได้เลยที่จะละวางอะไรได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยถึงรากเหง้าของการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ส่วนนี้ ที่เรียกว่ากายขันธ์

เพราะตัวกายขันธ์นี่ มันรวมไปถึง...มันเนื่องไปถึงรูปกาย หรือรูปขันธ์ กายจึงมีที่สุดแค่นี้เอง ที่สุดของสิ่งที่เรียกสมมุติว่ากาย มีที่สุดเท่านี้เอง ...ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใครอีกต่อไปแล้ว 

ไม่ใช่ใครไม่ใช่ของใครโดยบัญญัติโดยสมมุติอีกต่อไปแล้ว อย่างงี้ ...จิตดวงนี้ ใจดวงนี้ อวิชชาดวงนี้ เชื่อแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มจริงๆ ด้วยความเป็นเด็ดขาด สมุจเฉท...นี่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา

ซึ่งในลักษณะที่เราอยู่กับกายอยู่กับขันธ์นี่ แล้วมันมีความรู้สึกที่เป็นตัวเราของเรา...มันแนบชิดติดต้อยแบบคู่รักล้านปี ซึ่งดูเหมือนว่า...ไม่ว่าชาตินี้ ไม่ว่าชาติไหน...กูคงพรากจากมึงไม่ได้หรอก

มันแนบแน่นกันขนาดนั้นเลย มันนึกไม่ออก มันนึกภาพไม่ถึงเลยว่า...มันจะสามารถพรากจากกันหรือทำให้มันหายไปได้ด้วยวิธีการใด ด้วยธรรมบทใดเลย

แต่พอถึงจุดนี้จริงๆ แล้วจะเห็น ...โอ พลานุภาพของศีลสมาธิปัญญา ไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ของเล็กน้อย

แม้สิ่งที่ตอนเบื้องต้นเราเห็นมันเหมือนกับความเป็นเรานี่มันทะมึนใหญ่ แล้วมันมีอยู่ทุกที่ทุกสถาน มันพร้อมที่จะแสดงอำนาจบาตรใหญ่ของมันได้ตลอดเวลา ...ทุกครั้งทุกเมื่อเลยที่กระทบนี่

แต่มันไม่สามารถทานอำนาจของศีลสมาธิปัญญา...ของผู้ที่ปฏิบัติตนได้ดีแล้ว ที่เข้าไปลบรากเหง้า ล้างถึงต้นขั้วมัน ...นี่ ถ้าไม่เคารพศีลสมาธิปัญญาโดยความนอบน้อมบูชาอย่างยิ่งแล้ว ไม่รู้จะไปเคารพอะไรที่ไหนแล้ว

พวกเราทุกคนยังจะคิดอยู่ทุกคนแหละว่า ไม่สามารถจะลบล้างความเป็นเรา หรือทำลายล้างความเป็นเรา หรือความรู้สึกเป็นเราได้ ...ดูเหมือนมันยิ่งใหญ่มาก ยิ่งกว่าความยึดติดในสิ่งใดสิ่งหนึ่งทั่วไปเลย

ผัวเมียทะเลาะกัน ด่ากัน ร้องไห้ใส่กัน โกรธใส่กัน...เดี๋ยวก็ลืม  ข้าวของวัตถุแตกพังเสียหาย...เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็ไม่โศกแล้ว ...แต่ "เรา" นี่ไม่หายไปไหนนะ ไม่มีอะไรทำให้มันหายไปไหนได้เลยนะ 

มีเงินทองร้อยล้านพันล้านหมื่นล้านแสนล้าน ก็เอาไปขายเอาไปแลกซื้อ เอาไปจำหน่ายจ่ายแจกใครไม่ได้ ...ในความเป็นเรานี้ ใช่มั้ย

ท่านถึงบอกว่า...เอกายนมรรค มันมีทางอยู่ทางเดียว มันมีทางอยู่เส้นเดียว มันมีมรรคอยู่ทางเดียว มันมีการปฏิบัติอยู่ทางเดียววิธีเดียวเท่านั้นน่ะ ที่จะเอา "เรา" ออกจากกายใจออกจากขันธ์นี้ได้

ให้เชื่อเถอะว่าศีลมีจริง สมาธิมีจริง ปัญญามีจริง ...แล้วมีอยู่ในทุกผู้ตัวคน สามารถทำได้ทุกผู้ตัวคน...โดยที่แทบจะไม่ต้องลงทุนลงแรงภายนอกแต่ประการใดเลย 

เพียงแค่คอยตั้งสติระลึกขึ้นมา น้อมและหยั่งลงไปในก้อนกองกายปัจจุบันนี้...เสมอๆ ไม่ขาดสาย ไม่เว้นระยะ ...ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาวะจิตอย่างไร ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาวะอารมณ์เช่นใด 

ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของสัตว์บุคคลดีร้ายถูกผิดขนาดไหน ...สติจะต้องฝ่าฟันลงมาจนถึงเนื้อแท้ ธรรมแท้ กายแท้ให้ได้

 ฝึกฝนอยู่เช่นนี้ ...จึงจะเป็นฐานกำลังของสมาธิ คือจิตตั้งมั่นขึ้นมาภายใน

เพราะนั้นศีลสมาธิที่เกิดด้วยการกระทำเช่นนี้ จะไม่มีคำว่าเสื่อม ศีลสมาธิปัญญาในองค์มรรคจริงๆ จะไม่มีคำว่าเสื่อมหรือถอย ...สามารถเรียกร้องใช้หามาได้ทุกที่ ทุกสถาน ทุกกาล ทุกเมื่อ

เพราะว่ามันไม่ใช่เป็นของที่ต้องทำขึ้นมาใหม่ ...เป็นของที่มันมีอยู่แล้ว ใจก็มีอยู่แล้ว กายก็มีอยู่แล้ว 

ความสงบกับกายก็มีอยู่แล้ว ความสงบที่เป็นตัวกายก็มีอยู่แล้ว ความสงบของใจที่มันไม่มีอะไร ไม่ปรุงอะไร ไม่คิดอะไร ไม่มีอารมณ์อะไร มันก็มีอยู่ในตัวของมันแล้ว

เพราะนั้นมันไม่ต้องไปสร้างความสงบขึ้นมา มันมีความสงบในกาย ในศีล ในจิตในใจของมันอยู่ในตัวอยู่แล้ว ...ความสงบมีอยู่ในตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว 

จึงบอกได้ว่าไม่มีคำว่าเสื่อมเลย ความสงบภายในนี้ ...นี้คือความสงบที่แท้จริงของศีล นี้คือความสงบที่แท้จริงของสมาธิ นี้คือความสงบที่แท้จริงอย่างยิ่งยวดของปัญญา

ขอให้เข้าใจให้มันตรง แล้วการปฏิบัติจึงจะตรงต่อศีลสมาธิและปัญญา ...แล้วมันจะตรงทุกหมวดหมู่ ตั้งแต่มหาสติปัฏฐานเป็นต้นไป จนจบโพธิปักขิยธรรม ไม่ขาดไม่เกิน ไม่มากไม่น้อย...เป๊ะ พอดี

ถามอันไหน...ได้อันนั้น ถามอันไหน...เห็นอันนั้น จะเอาธรรมตัวไหน ...ถ้าอยู่ในหลักการนี้นะ 

ถามหาศีล...ได้ศีลตรงนั้นเลย ถามหาสมาธิ...ได้สมาธิตรงนั้นเลย ถามหาสติปัฏฐานสี่...ได้ตรงนั้นเลย ถามหาอิทธิบาท ๔...ก็มีตรงนั้นเลย ถามหาอินทรีย์พละ...ก็มีอยู่ตรงนั้นเลย 

ถามหาโพชฌงค์ ๗...ก็มีอยู่ตรงนั้นเลย ถามหาไตรสิกขาก็ครบ ครบหมด ถามหาอริยสัจ ๔ ชัด มีอยู่ตรงนี้เลย ...มันไม่มีอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อนในองค์ธรรมเลย


(ต่อแทร็ก 14/2  ช่วง 2) 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น